สวัสดีค่ะ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกเลยที่เขียนกระทู้ ผิดถูกยังไงขออภัยด้วยนะคะ
กระทู้นี้ไม่ได้มีอะไรมากกค่ะ จริง ๆ แค่อยากระบาย เราค่อนข้างกลัวโลกโซเชียลค่ะ เลยลองไประบายกับ Chat Bot แต่รู้สึกว่าไม่ได้ช่วยเลย เหมือนตะโกนลงไปในบ่อแล้วได้ยินแต่สิ่งที่อยากได้ยินกลับมา เลยคิดว่า เอาวะ ตั้งกระทู้ก็ได้ อย่างน้อยจะได้มองความเห็นของคนอื่นบ้าง
เรื่องเป็นแบบนี้ค่ะ ต้องย้อนความไปตั้งแต่สมัยเด็ก ๆ แบบ เด็กน้อยเลยอ่ะค่ะ เราโตมาในบ้านครึ่งจีนที่เปิดร้านโชว์ห่วย เลยมีลูกค้าแวะเวียนเข้ามาประจำ เราเป็นเด็กที่สดใสร่าเริงปกติค่ะ เราอยู่กับอากงอาม่า ซึ่งก็ตามปกติที่เขาจะรักหลานมากแล้วโอ๋เกือบทุกอย่าง แต่เราก็มีนิสัยชอบอยู่คนเดียวบ้าง คุยคนเดียวบ้างตามประสาเด็ก เป็นคนที่ชอบสังเกต แล้วก็ขอยอตัวเองหน่อย เราเป็นเด็กฉลาดค่ะ แบบว่าเป็นตัวแทนโรงเรียนทำกิจกรรม สอบตามสนามสอบต่าง ๆ อะไรแบบนี้น่ะค่ะ ส่วนของแม่เราต้องไปทำงานในกรุงเทพ ทำให้นาน ๆ ทีเจอกันค่ะ ส่วนพ่อ... เหมือนจะไปกับแม่ที่เป็นคนค่อนข้าง active แล้วก็เจ้ากี้เจ้าการนิดนึงไม่ได้ค่ะ เลยแยกทางกัน (ไม่รู้ใครจะว่าอะไรไหม แต่ถ้าอยากรู้ว่าแม่เรานิสัยประมาณไหน เราเคยให้แม่ทำ MBTI แล้วออกมาได้ ENTJ ค่ะ ส่วนเราเป็น INFP เรียกได้ว่าแทบจะต่างกันเลยค่ะ)
เราก็เติบโต เรียนมาปกติ แต่ไม่ได้มีเป้าหมายอะไรในชีวิตนะคะ แค่อยากมีความสุข เล่นเกมไปวัน ๆ แต่เราเริ่มมาเปลี่ยนตอนสอบเข้าได้โรงเรียนมัธยมประจำจังหวัดค่ะ ด้วยความที่เราต้องย้ายไปเรียนในเมือง เจอคนใหม่ ๆ เราก็เป็นคนเงียบ ๆ ค่อนข้างเก็บตัว เรียนเสร็จก็กลับหอ แต่พอจบ ม.1 ทางบ้านก็ให้เปลี่ยนจากอยู่หอ เป็นไปเช้าเย็นกลับค่ะ (บ้านเราห่างจากตัวเมืองพอสมควร) ต้องตื่นแต่เช้า ไม่มีโอกาสได้เรียนพิเศษกับเพื่อน ๆ เพราะต้องกลับตามเวลา ปกติสันโดษอยู่แล้ว อันนี้แทบจะปลีกวิเวกเลยค่ะ เพราะแทบไม่มีเวลาทำกิจกรรมอะไรกับเพื่อนเลย
พอมาตอน ม.4 เรามีทางเลือกสองทางค่ะ คือโรงเรียนเราจะมีสายวิทย์-คณิต กับ ศิลป์-คำนวณ เราอยากไปทางศิลป์-คำนวณค่ะ แต่ด้วยความที่เป็นหลานคนเดียวแล้วอยากสร้างความมั่นคงในชีวิตเพื่อตอบแทนอากงอาม่า เราเรียนสายวิทย์-คณิตต่อ ทั้ง ๆ ที่เราไปสายนี้ไม่ไหวค่ะ แต่ฝืนไปจนจบ ทีนี้เราก็ต้องเริ่มคิดเองแล้วค่ะ ว่าอยากจะไปทางไหน เราไม่มีเป้าหมายอะไรแบบนั้นเลยค่ะ เพื่อน ๆ หลายคนติวเพื่อที่จะหาสอบ บางคนเป็นเด็กกิจกรรมก็จะไปตั้งแต่รอบ portfolio ในขณะที่เรายังเหมือนเด็กน้อยเลยน่ะค่ะ แม่ก็เริ่มเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตแบบชัดเจนขึ้น ปกติแค่ทำงานส่งเงินมาแล้วก็มาหาบ้างเป็นบางครั้งค่ะ สุดท้ายเราก็ตัดสินใจไปเรียนสายวิทยาการคอมพิวเตอร์ค่ะ
เราย้ายมาอยู่กับแม่แบบเต็มเวลาค่ะ จริง ๆ ก็เคยมาอยู่กับแม่ แต่ตอนนั้นเมื่อประมาณ 10 ปีก่อน แถมมาอยู่แป๊ปเดียว ประมาณว่ามาเที่ยวเล่น แต่รอบนี้เรามาอยู่จนกว่าจะเรียนจบ มีปากเสียงกับแม่บ่อยค่ะ เพราะแม่อยากให้หางาน part-time ทำระหว่างเรียน แต่เราก็ไม่อยากทำเพราะติดบ้านแล้วก็เป็นคนที่เปื่อยมาก (ขี้เกียจน่ะค่ะ) แต่สุดท้ายก็เถียงอะไรไม่ได้เลยหางานทำอยู่ 2-3 งาน แม่เป็นคนขยันแล้วก็ชอบคะยั้นคะยอคนอื่นค่ะ วันพักของแม่คือต้องหาอะไรทำตลอด ในขณะที่วันพักของเราก็คือพักน่ะค่ะ อยู่ในห้อง ออกไปข้างนอกบ้างเป็นบางครั้ง เวลาโมโห เราชอบเงียบเพราะไม่รู้จะพูดยังไง เวลานอนเราก็ไม่ชอบให้แม่นอนกอดค่ะ (คือ โตแล้ว แถมเป็นคนขี้ร้อน นอนเตียงเดียวกันอีก) ก็จะมีหลุด ๆ มาว่า "ไม่รักแม่แล้วหรอ?" "รำคาญแม่มากใช่มั้ย?" "แม่รู้ว่าแม่ไม่สำคัญนะ" อะไรประมาณนี้น่ะค่ะ
เราเป็นคนที่ชอบคิดไปเรื่อยเปื่อยค่ะ เราเริ่มสังเกตว่าเรานึกถึงเรื่องความตายบ่อยขึ้น นึกถึงเรื่องความหมายของชีวิต ตอนนั้นเราอายุ 20 ค่ะ แต่อาการหนักเลยก็ตอนที่มาทำงาน (หลังจากจบมัธยม เราเรียนต่อมหาลัย 1 ปี แล้วดรอปมาเรียนต่ออีกที่นึง แล้วช่วงนั้นเป็นช่วงโควิดพอดี เลยรู้ตัวว่าเรียนทางไกลไม่รอด เลยออกค่ะ) แล้วก็ตามฉบับแม่ก็คือให้เราเรียนต่อ เราก็เออออไปด้วยเพราะไม่มีความคิดหรือกระตือรือร้นอะไร กลายเป็นว่าตอนนี้เราทำงานไปด้วย แล้วก็เรียนปริญญาตรี 2 ใบ แถมมีค่าใช้จ่ายเป็นค่าบ้านค่ารถอีกทั้งที่ฐานเงินเดือนเราก็น้อย (แม่ให้ซื้อคอนโดไว้ค่ะ แล้วก็ซื้อรถมาด้วยให้เราขับ แต่ความกรุงเทพ ขี่มอเตอร์ไซค์ไปมันสะดวกกว่า) ความเครียดเราพุ่งแบบ 200% ความเอาแต่ใจทำให้ไม่อยากไปทำงาน ความสันโดษทำให้เราอยู่กับตัวเองและโลกโซเชียลเยอะ ผสมกับความชอบคิดไปเรื่อยเปื่อยมันก็เลยออกทะเลไปหาความหมายของการมีอยู่ (existential dread เลยค่ะ) มีครั้งนึงเป็นแรงมาก ๆ แทบหลุดจากห้วงความคิดไม่ได้ เลยไปหาหมอ สรุปเราน่าจะเป็นอาการเครียดมากมั้งคะ? ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่หมอให้ยาแก้เครียดกับยานอนหลับมาตลอด
เราไม่อยากให้แม่รู้มาก ๆ ค่ะ เพราะเป็นคนหวงพื้นที่ส่วนตัวมาก ๆ (ตอนเด็กไม่เคยได้นอนห้องค่ะ แล้วบ้านไม่มีแบ่งส่วนอะไรชัดเจน เลยไม่มีพื้นที่ส่วนตัวเลย) สุดท้ายแม่ก็รู้เพราะเจอยาที่เราเก็บไว้ในลิ้นชัก (อาจจะผิดที่เราเองทำตัวล่ก ๆ แม่ไม่ได้ค้นห้องนะคะ แต่ถามว่าของอยู่ตรงไหน แล้วแม่กำลังจะเปิดลิ้นชักพอดี เราเลยเหมือนคะยั้นคะยอให้รีบ ๆ หยิบของ อย่าเปิดลิ้นชัก อะไรประมาณนั้น) เอาเลยค่ะ all hell brake loose แม่ซักแล้วก็ถามเราใหญ่ว่าเราเป็นอะไร และทุกครั้งที่แม่มา (ลืมบอกค่ะว่าตอนทำงาน เราย้ายมาอยู่ใกล้ที่ทำงาน ไม่ได้อยู่กับแม่แล้ว) แม่ก็จะถามเรื่องยาเสมอ เขาก็พยายามพูดดี ๆ กับเรานะคะ แต่จากประสบการณ์ที่ผ่าน ๆ มา (อาจจะบวกความเป็นวัยรุ่นเบื่อพ่อแม่ด้วย) เราก็ไม่ได้ทำตัวดีกับเขาอ่ะค่ะ เวลาอยู่ด้วยกันก็ปกติดี แต่พอเราหงุดหงิดเราหลุดนิสัยเดิมตลอดเลย ก็รู้สึกแย่เหมือนกันที่ทำตัวไม่ดีกับแม่ ทั้ง ๆ ที่แม่เองก็เหนื่อย แต่เราเองก็เหนื่อย แล้วแม่ก็จะบอกให้เราออกจากห้องบ้าง พยายามให้คำแนะนำที่เขามองว่าดี แต่สำหรับเรามันคือการที่เขาเอามุมมองที่มองว่า "ดี" สำหรับเขามากกว่าค่ะ ทั้ง ๆ ที่ห้องของเราคือ comfort zone มันเป็น safe zone ของเรา มันเป็นการพักผ่อนให้พลังงานในแบบของเรา เขาบอกว่าเราป่วย เดี๋ยวเราจะไม่หาย เขาเริ่มพูดแนว ๆ น้อยใจบ่อยขึ้น ทั้ง ๆ ที่เขาก็ไม่รู้ว่าที่เรายังอยู่และมีแรงฮึดทุกวันนี้เพราะเราไม่อยากให้ที่บ้านเสียใจ เรารอให้ทุกคนไปก่อน แล้วเราจะบริจาคของ ทิ้งทุกอย่างแบบหมดห่วงน่ะค่ะ ไม่รู้หลังจากนี้จะมีอะไรอีกหรือเปล่า และอาการเครียดที่เริ่มดี ๆ ขึ้นเหมือนจะกลายเป็นหนักกว่าเดิม ไม่รู้ว่าเราพยายามเข้าใจเขามากเกินไปหรือเปล่า หรือเราอาจจะเอาแต่ใจมากเกินไปก็ได้น่ะค่ะ ตอนนี้ก็ค่อนข้างสับสน
ถ้าใครหลงเข้ามาอ่านก็ขอบคุณนะคะที่อ่าน 5555 แต่เราอาจจะไม่ได้ตอบอะไรยกเว้นแต่จะเป็นคำถามบางข้อน่ะค่ะ เป็นครั้งแรกที่ตั้งกระทู้เลย ขอบคุณล่วงหน้านะคะ
แม่ไม่เข้าใจ