การbullyในปัจจุบันรุนแรงขึ้นหรือน้อยลงไปจากเมื่อก่อน

การbullyนั้นเดิมทีนั้นเกิดจากภายในรั้วโรงเรียนแต่ในปัจจุบันความรุนแรงนั้นอาจจะรวมถึงในเรื่องของโลกภายนอกด้วยซึ่งเริ่มรุนแรงขึ้น

อย่างเมื่อก่อนถึงตัวใหญ่แต่มักโดนรุมรังแกเสมอเพราะความงุ่มง่ามโดยแม่ผมบ่นเสมอว่าผมชอบโวยวายแต่พอเงียบกลับยิ่งโดนโดยเฉพาะม.3ร้องไห้แทบจะทุกเดือนจนเรียกวว่าปีนรกแต่โชคดีที่พอม.4การคัดสรรค์ทางธรรมชาติพวกเกเรนั้นหายไปเกือบหมดถึงเหลือก้แค่พวกที่แค่ตัวเสริมแต่ตัวเบ้งๆไม่อยู่หรือเพราะช่วงม.ปลายนั้นส่วนมากเริ่มมุ่งเน้นเรื่องของการสอบเข้ามหาวิทยาลัยโดยเฉพาะม.6คือไม่มีใครว่างเลยถึงพวกปลายแถวเคยบอกว่าห้องที่ผมอยู่เป็นศูนย์รวมพวกไม่เรียนแต่ห้องของเขาก้เลวร้ายพอๆกันแต่จุดที่เรียกได้ว่าช่วงเอาคืนคือผมสอบเข้ามหาวิทยาลัยลำดับต้นๆได้ส่วนพวกเขาก็แยกตัว ตอนเจอกันที่อาจจะคุยเป็นครั้งสุดท้ายคือครั้งหนึ่งประธานรุ่นนัดรวมกัน พวกมันก็กลับมาแต่ชะงักกับเครื่องแบบที่ผมสวมเพราะเพิ่งเลิกเรียน แน่ละพวกเขานั้นพยายามที่จะแซะแต่ผมสวนว่าเมื่อตอนม.4ใครนะที่บอกว่าห้องฉันรวมคนอ่อนไงแล้วนายเรียนที่ไหน มันพยายามใช้สูตรเด็กเกเรเลยคือพ่อมันเป้นตำรวจแต่ผมสวนนิ่มๆว่าบอกยศมาสิจะได้รู้ว่าหากดดนปลดจะเป็นไงจนมันเริ่มมองผมแปลกๆก่อนเพื่อนของเขาจะล้อชื่อพ่อผมแล้วมันสะกิดใจว่าชื่อเหมือนคนมีอำนาจจนถามจนผมเฉลยว่า ใช่ นั่นพ่อเราเอง ถ้าทะลึ่งมากระวังด้วยว่าตำรวจยศใหญ่แค่ไหนหากปลดออกมาก็แค่คนธรรมดา หวังว่าเรื่องจดหมายของร.5ที่เรียนตอนม.ต้นจะจำได้นะและแน่นอนจากนั้นก็แทบไม่เจอกันอีกเลย

คือจริงๆเพิ่งรู้ว่ามีอำนาจแต่พ่อผมไม่เคยบอกเพราะกลัวว่าผมจะหลงกับอำนาจที่มีและผมก็ยิ่งเข้าใจในสมัยเรียนในมหาวิทยาลัยมากขึ้นเพราะว่าการใช้อำนาจในทางที่ผิดส่วนมากมากจะพบกับความโดดเดี่ยวเสมอ อย่างเคสรุ่นน้องที่ทนการรับน้องไม่ไหวจนตะโกนว่าพ่อกูเป็นตำรวจ ตอนแรกพวกรุ่นพี่เหวอเอาจนให้ผมช่วยไปเคลียให้และจากนั้นคือรุ่นน้องดังกล่าวแทบไม่มีใครกล้ายุ่งด้วย

ส่วนการแกล้งกันมีคนบอกว่าส่วนมากจะแกล้งคนที่ดูอ่อนแอกว่าไม่ใช่ทางร่างกายแต่คือด้านจิตใจและผู้กระทำที่มักอ้างว่ามีอำนาจที่อาจจะมีจริงๆ โดยมากคือพ่ออาจจะเป็นตำรวจระดับหนึ่งและคิดว่าการแกล้งกันนั้นเป้นเรื่องเล็กน้อย

พอเข้าทำงานคือผมไม่เคยเจอการกลั่นแกล้งกันมากนักในช่วงแรกๆ ขนาดเด้กที่พ่อเป็นผู้ใหญ่บ้านถึงจะซนแต่ก็ไม่ถึงกับวางอำนาจแต่พอช่วงสื่ออินเตอร์เน็ทเริ่มเข้าถึงมันยกไปอีกระดับเลย

ช่วงแรกๆที่เห็นแน่นอนคือคลิปนักศึกษาสองคนตบกันแย่งแต่ความรุนแรงเริ่มมากขึนจนกลายเป็นรุมกันและประจารลงเน็ทและเริ่มรุนแรงจนตอนนี้ในไทยนั้นกลายเป็นอันดับ2รองจากญี่ปุ่น ผมไม่แปลกใจเท่าไหร่เพราะส่วนหนึ่งการbullyไม่ได้เกิดแค่ในรั้วโรงเรียนแลวเพราะมันลามมาถึงนอกโรงเรียนหรือแม้แต่สื่อออนไลน์ในปัจจุบันยิ่งสื่อปัจจุบันนั้นไวมากและปัญหาหลักคือการขาดการใช้อย่างถูกต้องและคิดว่าเกรียนในจอโดยไม่สนว่านอกจอเป็นอย่างไร

การbullyในโลกออนไลน์ผมขอไล่เหตุการณ์จากเบาไปหนักก่อนโดยเบาที่สุดคือผมได้รับข้อความจากคนคนหนึงว่าอยากแอดเฟรนผมเลยถามว่าใครครับส่วนอีกฝ่ายนั้นพูดแบบกวนๆว่าแนะนำตัวก่อนสิ ผมเริ่มหงุดหงิดเล็กน้อยแล้วถามว่าคุณมาแอดตามมารยาทต้องแนะนำตัวก่อนสิ อีกฝ่ายนั้นยังกวนๆต่อว่าเป็นผู้ชายก็แนะนำตัวมาก่อนสิ ผมเลยตอบแบบตรงว่า ฉันครู.....เป็นครูที่โรงเรียน........แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดคืออีกฝ่ายบล๊อคผมแทบทันทีที่แนะนำตัวจนผมให้เพื่อนที่เก่งคอมมาตรวจสอบพบว่าเป็นนักเรียนที่ตัวเองสอนด้วย ผมเลยไล่ล่าหาในวันถัดมา ตอนนั้นผมประสบปัญหาเรื่องการควบคุมอารมณ์คือถ้าโกรธคือจะแรงมากและไล่ล่ายกชั้นจนเจ้าตัวร้องไห้มาสารภาพว่าแค่อยากกวนชาวบ้านแถมพอดูข้อความดุคือเด็กป.5ดันพูดกับเพื่อนผมที่หาข้อมูลด้วยข้อความที่เกินกว่าเด็กป.5จะพูดจนผมบอกว่า ดีที่เจอครูถ้าไปเจอไอ้โรคจิตหรือพวกหลอกลวง(ตอนนั้นยังไม่มีสแกมเมอร์)จะทำไง

ครั้งต่อมาคือโดนแบบกล่าวในงานCosplayแต่เป็นการว่าร้ายแบบอ้อมๆเพราะครั้งหนึ่งผมลองใช้เท็คนิคแบบเอาตุ๊กตาที่ราคาโหดเอาเรื่องโดยราคาราวๆ5000ได้แล้วใช้เท็คนิคแบบว่าถ่ายเหมือนคนสองคนชิดกันและแน่นอนว่าบางคนชอบวะงั้นแต่หลังงานคือมีคนอวดรวยที่พ่อแม่รวยแล้วเพื่อนคนเดิมมาคาบข่าวบอกว่าผมโดนเอามาพูดด้วยแต่เขาไม่ได้พูดชื่อตรงๆแต่ผมก็ไม่ว่าอะไรเพราะมันไม่ได้โดนว่าร้ายอะไรประมาณว่าครูที่เอาตุ๊กตาราคาแพงเดินไปมาในงานคอสมันไม่ได้เสียหายอะไร

แต่การbullyที่รุนแรงที่สุดคือผมโดนใส่ความโดยลูกหนี้นั้นใส่ความผมจนโดนประจารและแชร์ข่าวแบบผิดๆ ตอนแรกพวกทีมที่เชื่อในตัวผมนั้นยังอยากจะช่วยและงานนี้พ่อผมเกือบออกโรงเองแล้วจนผมขอไกล่เกลี่ยเองและพี่ชายผมที่เขารู้การรับมือกับข่าวปลอมจึงจี้พยานปลอมจนจากการด่าทอมาเป็นสงสัยในพยานและเมื่อมีคนเริ่มเตือนสติอีกฝ่าย คู่กรณีจึงซ่อนโพสไปจนผมงงว่าทำไมไม่ลบไปเลย และนั่นคือการถูกbullyครั้งสุดท้ายของผม

คือผมคิดว่าการbullyโดยเฉพาะในปัจจุบันที่คนนั้นไม่ได้ใส่ใจนความรุนแรงที่มากขึ้นเพราะเนื่องจากว่าหากการกระทำต่อหน้าแบบเมื่อก่อนนั้นอาจจะจบด้วยการมีคนไกล่เกลี่ยแต่ปัจจุบันนั้นกลับรุนแรงขึ้นไม่ใช่แค่ในโลกโซเชียลแต่รวมถึงในโลกจริงด้วย จากการตรวจสอบคือสถิติปีที่แล้วสูงกว่าปีก่อนอีกจนอยากจะทราบว่าเราหาทางในการลดเรื่องการbullyลงอย่างไร

ขออภัยที่ยกตัวอย่างยาวเพราะจะได้เห็นภาพง่ายๆระหว่างอดีตและปัจจุบันและคิดว่าทำไมอายุ30ยังโดนอยู่ได้หว่า
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่