2 ตุลาคม 2568
ที่มาของข่าว:
https://foreign.prd.go.th/th/content/category/detail/id/2884/iid/428564
หลังจากเกิดความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลกระทบไปในหลายมิติ และหนึ่งในปัญหาที่ไทยได้รับผลกระทบคือ การขาดแคลนแรงงาน หลังจากที่ผู้นำกัมพูชา ได้เรียกให้แรงงานกัมพูชาที่ทำงานในไทย เดินทางกลับประเทศ ส่งผลให้ผู้ประกอบการไทยขาดแคลนแรงงานอย่างหนัก
หลังจากเกิดวิกฤตดังกล่าว ส่งผลให้ผู้ประกอบการไทยต้องเร่งปรับตัว พร้อมเร่งหาแรงงานจากในประเทศและประเทศอื่นๆ เข้ามาทดแทน ขณะที่รัฐบาลไทยก็ได้ทำข้อตกลงกับประเทศต่างๆ เช่น ศรีลังกา นำเข้าแรงงาน เพื่อไม่ให้การดำเนินธุรกิจของไทยต้องสะดุดและขาดตอน
และล่าสุดรัฐบาลไทย ได้ไฟเขียวให้ผู้ลี้ภัยชาวเมียนมา ซึ่งอยู่ในศูนย์พักพิงในประเทศไทย ให้ออกมาทำงานเป็นแรงงานรับจ้างทั่วไป ถูกต้องตามกฎหมาย ได้นาน 1 ปี โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา
การเดินหน้านโยบายดังกล่าว “อนุทิน ชาญวีรกูล” นายกรัฐมนตรี ระบุว่า เป็นการจัดการเชิงมนุษยธรรม ทั้งช่วยบรรเทาปัญหาการขาดแคลนแรงงานภายในประเทศ และเป็นมาตรการที่จะรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของไทย
ปัจจุบัน ไทยมีพื้นที่พักพิงชั่วคราวให้กับผู้หนีภัยการสู้รบในเมียนมา จำนวน 9 แห่ง อยู่ในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ตาก กาญจนบุรี และราชบุรี มีจำนวนผู้หนีภัยการสู้รบเข้ามาอาศัยในพื้นที่ดังกล่าว จำนวน 77,718 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 15 สิงหาคม 2568)
ที่ผ่านมา ไทยได้ร่วมกับองค์กรระหว่างประเทศและองค์การนอกภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ให้ความช่วยเหลือในด้านต่างๆ อาทิ ด้านการแพทย์ และด้านอาหาร
แต่ในช่วงที่ผ่านมา องค์กรระหว่างประเทศและองค์การนอกภาครัฐ ได้มีการปรับลดงบประมาณการให้ความช่วยเหลือ จึงส่งผลให้ภาระในการดูแลคนต่างด้าวดังกล่าว ตกแก่รัฐบาลไทยเพียงฝ่ายเดียว
ขณะที่สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ได้ชื่นชมรัฐบาลไทยที่ให้สิทธิ์ในการทำงานแก่ผู้ลี้ภัยชาวเมียนมา ที่พำนักระยะยาวในไทย ซึ่งนอกจะช่วยให้ผู้ลี้ภัยสามารถทำงานในประเทศได้อย่างถูกกฎหมายแล้ว ยังมีส่วนช่วยสร้างเศรษฐกิจไทยอย่างมีนัยสำคัญ และถือเป็นมาตรฐานใหม่ในภูมิภาคสำหรับการแก้ไขปัญหาผู้ลี้ภัยที่ยั่งยืน โดยยึดหลักสิทธิมนุษยชน และเป็นแบบอย่างให้กับประเทศอื่นๆ ที่เผชิญกับความท้าทายที่คล้ายคลึงกัน
การให้ “ผู้ลี้ภัย” ทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ถือเป็นหนึ่งในแนวทางการบริหารจัดการผู้ลี้ภัยที่หลายประเทศดำเนินการ และนโยบายใหม่นี้ ถือเป็นการต่อยอดความเป็นผู้นำ และบทบาทสำคัญในการให้ที่พักพิงแก่ผู้ลี้ภัยของไทยที่มีมานานกว่า 50 ปี
นอกจากปมปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ที่ส่งผลกระทบต่อการไหลออกของแรงงานต่างด้าวแล้ว ปัญหาการเลือกงานของคนไทย ก็เป็นปัจจัยหนึ่ง ที่ทำให้บางภาคอตุสาหกรรมได้รับผลกระทบ
การเปิดโอกาสให้ผู้ลี้ภัยชาวเมียนมา ที่อาศัยอยู่ในศูนย์พักพิงในประเทศไทย ได้ออกมาทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะช่วยพยุงเศรษฐกิจไทย ให้สามารถเดินหน้าต่อไปในภาวะวิกฤตเช่นนี้
และที่สำคัญ ถือเป็นการกระจายความเสี่ยงของภาคแรงงาน ที่ไทยไม่ต้องพึ่งพิงแรงงานจากประเทศหนึ่งประเทศใดเพียงแห่งเดียว
ที่มาของภาพ: ThaiPBS
ปลดล็อก “ผู้ลี้ภัย” ทำงาน...แก้วิกฤตแรงงานในประเทศ (ทดแทนแรงงานกัมพูชาที่กลับบ้าน)
ที่มาของข่าว: https://foreign.prd.go.th/th/content/category/detail/id/2884/iid/428564
หลังจากเกิดความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลกระทบไปในหลายมิติ และหนึ่งในปัญหาที่ไทยได้รับผลกระทบคือ การขาดแคลนแรงงาน หลังจากที่ผู้นำกัมพูชา ได้เรียกให้แรงงานกัมพูชาที่ทำงานในไทย เดินทางกลับประเทศ ส่งผลให้ผู้ประกอบการไทยขาดแคลนแรงงานอย่างหนัก
หลังจากเกิดวิกฤตดังกล่าว ส่งผลให้ผู้ประกอบการไทยต้องเร่งปรับตัว พร้อมเร่งหาแรงงานจากในประเทศและประเทศอื่นๆ เข้ามาทดแทน ขณะที่รัฐบาลไทยก็ได้ทำข้อตกลงกับประเทศต่างๆ เช่น ศรีลังกา นำเข้าแรงงาน เพื่อไม่ให้การดำเนินธุรกิจของไทยต้องสะดุดและขาดตอน
และล่าสุดรัฐบาลไทย ได้ไฟเขียวให้ผู้ลี้ภัยชาวเมียนมา ซึ่งอยู่ในศูนย์พักพิงในประเทศไทย ให้ออกมาทำงานเป็นแรงงานรับจ้างทั่วไป ถูกต้องตามกฎหมาย ได้นาน 1 ปี โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา
การเดินหน้านโยบายดังกล่าว “อนุทิน ชาญวีรกูล” นายกรัฐมนตรี ระบุว่า เป็นการจัดการเชิงมนุษยธรรม ทั้งช่วยบรรเทาปัญหาการขาดแคลนแรงงานภายในประเทศ และเป็นมาตรการที่จะรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของไทย
ปัจจุบัน ไทยมีพื้นที่พักพิงชั่วคราวให้กับผู้หนีภัยการสู้รบในเมียนมา จำนวน 9 แห่ง อยู่ในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ตาก กาญจนบุรี และราชบุรี มีจำนวนผู้หนีภัยการสู้รบเข้ามาอาศัยในพื้นที่ดังกล่าว จำนวน 77,718 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 15 สิงหาคม 2568)
ที่ผ่านมา ไทยได้ร่วมกับองค์กรระหว่างประเทศและองค์การนอกภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ให้ความช่วยเหลือในด้านต่างๆ อาทิ ด้านการแพทย์ และด้านอาหาร แต่ในช่วงที่ผ่านมา องค์กรระหว่างประเทศและองค์การนอกภาครัฐ ได้มีการปรับลดงบประมาณการให้ความช่วยเหลือ จึงส่งผลให้ภาระในการดูแลคนต่างด้าวดังกล่าว ตกแก่รัฐบาลไทยเพียงฝ่ายเดียว
ขณะที่สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ได้ชื่นชมรัฐบาลไทยที่ให้สิทธิ์ในการทำงานแก่ผู้ลี้ภัยชาวเมียนมา ที่พำนักระยะยาวในไทย ซึ่งนอกจะช่วยให้ผู้ลี้ภัยสามารถทำงานในประเทศได้อย่างถูกกฎหมายแล้ว ยังมีส่วนช่วยสร้างเศรษฐกิจไทยอย่างมีนัยสำคัญ และถือเป็นมาตรฐานใหม่ในภูมิภาคสำหรับการแก้ไขปัญหาผู้ลี้ภัยที่ยั่งยืน โดยยึดหลักสิทธิมนุษยชน และเป็นแบบอย่างให้กับประเทศอื่นๆ ที่เผชิญกับความท้าทายที่คล้ายคลึงกัน
การให้ “ผู้ลี้ภัย” ทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ถือเป็นหนึ่งในแนวทางการบริหารจัดการผู้ลี้ภัยที่หลายประเทศดำเนินการ และนโยบายใหม่นี้ ถือเป็นการต่อยอดความเป็นผู้นำ และบทบาทสำคัญในการให้ที่พักพิงแก่ผู้ลี้ภัยของไทยที่มีมานานกว่า 50 ปี
นอกจากปมปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ที่ส่งผลกระทบต่อการไหลออกของแรงงานต่างด้าวแล้ว ปัญหาการเลือกงานของคนไทย ก็เป็นปัจจัยหนึ่ง ที่ทำให้บางภาคอตุสาหกรรมได้รับผลกระทบ
การเปิดโอกาสให้ผู้ลี้ภัยชาวเมียนมา ที่อาศัยอยู่ในศูนย์พักพิงในประเทศไทย ได้ออกมาทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะช่วยพยุงเศรษฐกิจไทย ให้สามารถเดินหน้าต่อไปในภาวะวิกฤตเช่นนี้
และที่สำคัญ ถือเป็นการกระจายความเสี่ยงของภาคแรงงาน ที่ไทยไม่ต้องพึ่งพิงแรงงานจากประเทศหนึ่งประเทศใดเพียงแห่งเดียว
ที่มาของภาพ: ThaiPBS