เปิดตัว Insta360 Go Ultra
Insta360 กลับมาเขย่าตลาด
กล้องแอคชั่น อีกครั้งกับรุ่นใหม่ล่าสุด
Insta360 GO Ultra ที่ยังคงความเป็นกล้องจิ๋วในรูปแบบ Standalone Camera เหมือนซีรีส์
Insta360 go 3s รุ่นก่อนหน้า แต่คราวนี้อัปเกรดแบบจัดเต็มทั้งในเรื่องคุณภาพภาพ เสถียรภาพการถ่าย ความฉลาดของ AI และฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์คนที่อยากได้กล้องเล็ก ๆ ที่ถ่ายอะไรได้มากกว่าสมาร์ทโฟนทั่วไป โดยเฉพาะในมุมมองแบบ POV ที่ถ่ายจากสายตาผู้ใช้จริง
ดีไซน์ที่เล็กแต่โคตรล้ำ
Insta360 Go Ultra ยังคงใช้ดีไซน์แบบโมดูลาร์ ประกอบด้วยกล้องจิ๋วแบบ Standalone และ Action Pod ที่เสริมหน้าจอ Flip-up Touchscreen สำหรับการควบคุมและใช้งานที่สะดวกขึ้น กล้องมีน้ำหนักเพียง 53 กรัม ขนาด 46 x 46 x 18 มม. เล็กพอจะใส่ในกระเป๋าเสื้อหรือคล้องคอด้วย Magnet Pendant โดยไม่รู้สึกเกะกะ ส่วน Action Pod น้ำหนักอยู่ที่ 109 กรัม ขนาดรวม 70 x 49 x 33 มม. ให้ความรู้สึกเหมือนถือกล้อง Action ขนาดปกติ พร้อมหน้าจอควบคุมที่ใช้ได้สะดวกแม้มีมือเดียว
แม้กล้องจะเล็ก แต่มีโครงสร้างที่แข็งแรง ทนทาน ใช้งานได้แม้ในอุณหภูมิต่ำถึง -20 องศาเซลเซียส และสามารถกันน้ำได้ลึกถึง 10 เมตรโดยไม่ต้องใช้เคสเสริม (เฉพาะตัวกล้อง Standalone)
อีกจุดที่น่าสนใจคือการออกแบบให้กล้องสามารถถอดแยกจาก Action Pod ได้ง่าย ด้วยระบบแม่เหล็กที่แน่นหนา ไม่หลุดง่ายระหว่างการใช้งาน แม้จะติดตั้งไว้กับหมวกจักรยาน สายรัดอก หรือแม้แต่สายคล้องคอ ตัวแม่เหล็กด้านหลังกล้องยังสามารถใช้ยึดติดกับผิวโลหะ เช่น รั้วเหล็ก หรือโครงรถจักรยานได้อย่างมั่นคง เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการถ่ายมุมที่ต้องการความอิสระในการเคลื่อนไหว
นอกจากนี้ Action Pod ยังออกแบบให้มีดีไซน์คล้ายกล้อง Vlog ขนาดเล็กที่ใช้งานง่าย ปุ่มบันทึก ปุ่มเปลี่ยนโหมด และช่องชาร์จ USB-C ถูกจัดวางไว้อย่างลงตัว และหน้าจอพับได้ช่วยให้สามารถถ่ายตัวเองได้อย่างสะดวก โดยไม่ต้องคาดเดาว่ากรอบภาพอยู่ตรงไหน จุดนี้ช่วยให้ทั้งมือใหม่และสายคอนเทนต์มั่นใจได้ว่าทุกช็อตจะอยู่ในเฟรมแน่นอน
สเปคแบบจัดเต็มในกล้องจิ๋ว ที่ไม่แพ้กล้องโปรตัวใหญ่
แม้จะมีขนาดเล็กกว่าแอคชั่นแคมทั่วไปเกือบครึ่งหนึ่ง แต่ Insta360 Go Ultra กลับอัดแน่นด้วยสเปคระดับเรือธง เริ่มจากเซ็นเซอร์ภาพ Type 1/1.28 นิ้ว ที่มีพื้นที่รับแสงมากกว่ารุ่นก่อนถึงกว่า 2 เท่า ช่วยให้รายละเอียดของภาพดีขึ้นทั้งกลางวันและกลางคืน ยิ่งไปกว่านั้นยังมีชิปประมวลผล AI รุ่นใหม่ขนาด 5nm ที่เป็นหัวใจสำคัญของระบบ “PureVideo” ที่ Insta360 พัฒนาขึ้นมาเพื่อการถ่ายในที่แสงน้อยโดยเฉพาะ ฟีเจอร์นี้จะช่วยลด Noise ได้อย่างชาญฉลาด ปรับความสว่าง และบาลานซ์สีอัตโนมัติ เพื่อให้วิดีโอดูคมชัดแบบมืออาชีพ แม้จะถ่ายในช่วงแสงพระอาทิตย์ตก หรือในร้านอาหารแสงน้อย
ด้านวิดีโอ Go Ultra รองรับความละเอียดสูงสุด 4K ที่ 60 เฟรมต่อวินาที ให้ภาพลื่นไหลแบบ Cinematic พร้อมโหมด Slow Motion ที่ความละเอียด 1080p สูงสุด 240fps เหมาะสำหรับการถ่ายแอคชั่นหนัก ๆ เช่น กระโดด บีเอ็มเอ็กซ์ หรือกีฬาทางน้ำ ส่วนภาพนิ่งก็ไม่น้อยหน้า เพราะสามารถถ่ายได้ความละเอียดสูงสุดถึง 50 ล้านพิกเซล ซึ่งมากพอสำหรับนำไปใช้งานตัดแทรกในวิดีโอ หรือนำไปพิมพ์ภาพขนาดใหญ่ได้สบาย
ระบบกันสั่นภายใน FlowState ร่วมกับเซ็นเซอร์ Gyroscope แบบ 6 แกน ช่วยให้ภาพนิ่งแม้ในขณะเดิน วิ่ง หรือเคลื่อนไหวเร็ว ฟีเจอร์ Horizon Lock ช่วยล็อกเส้นขอบฟ้าให้ตรงตลอดเวลา ส่วนโหมด Tilt Fix ก็ออกแบบมาให้แก้ไขการเอียงของกล้องที่เกิดจากการติดตั้งผิดมุม เช่น คลิปบนหมวกหรือแฮนด์จักรยาน ให้ภาพที่ได้ยังคงตรงและสมูทอยู่เสมอ
ในส่วนของระบบเสียง กล้อง insta360 ใส่ไมค์มาให้ในตัวกล้องพร้อมเลือกปรับโหมดเสียงได้ถึง 4 แบบ ได้แก่ Stereo สำหรับเสียงทั่วไป, Voice Enhancement สำหรับเน้นเสียงพูดให้ชัด, Wind Reduction สำหรับตัดเสียงลมเบา และโหมดลดเสียงลมหนักสำหรับสถานการณ์ที่มีลมแรง นอกจากนี้ยังรองรับการเชื่อมต่อไมโครโฟน Bluetooth ภายนอกได้หลากหลาย ทั้ง Insta360 Mic Air, DJI Mic 2 หรือแม้แต่ AirPods Pro 2 เหมาะกับสาย Vlogger หรือ Creator ที่ต้องการควบคุมคุณภาพเสียงให้มืออาชีพยิ่งขึ้น
คุณภาพภาพและวิดีโอที่เหนือระดับในกล้องจิ๋ว
Insta360 Go Ultra ยกระดับกล้องแอคชั่นขนาดเล็กไปอีกขั้น ด้วยคุณภาพวิดีโอระดับ 4K 60fps ที่ไม่เพียงให้ภาพเคลื่อนไหวลื่นไหล แต่ยังมาพร้อมความคมชัด สีสันสดใส และรายละเอียดครบถ้วนแม้ในสภาพแสงที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โดยเฉพาะเมื่อเปิดใช้งานโหมด Active HDR หรือเปิดใช้งาน Dolby Vision จะเห็นได้ชัดว่าไดนามิกของภาพนั้นกว้างขึ้น ทั้งในส่วนที่มืดและสว่าง ทำให้รายละเอียดไม่หายแม้จะถ่ายย้อนแสงหรือในฉากที่มีความต่างแสงสูง เช่น พระอาทิตย์ตก หรือวิวริมทะเล
โหมด PureVideo ซึ่งใช้พลังของ AI ช่วยลดสัญญาณรบกวน (Noise) และเพิ่มความสว่างอัตโนมัติ ทำให้การถ่ายวิดีโอในที่แสงน้อยกลายเป็นเรื่องง่าย ไม่ว่าจะเป็นการเดินถ่ายตามถนนในตอนกลางคืน ถ่ายบรรยากาศงานเลี้ยง หรือแม้แต่เก็บช็อตในร้านอาหารที่แสงสลัว ภาพก็ยังออกมาดูสะอาด คม และไม่แตกเป็นเม็ดหยาบ
ในส่วนของภาพนิ่ง แม้ Insta360 Go Ultra จะออกแบบมาเพื่อการถ่ายวิดีโอเป็นหลัก แต่กล้องนี้กลับให้ภาพความละเอียดสูงถึง 50 ล้านพิกเซล ซึ่งมากเกินพอสำหรับการนำไปใช้งานด้านกราฟิก การพิมพ์ หรือการซูมครอปโดยไม่สูญเสียรายละเอียด โดยเฉพาะในอัตราส่วนภาพ 4:3 หรือ 16:9 ที่สามารถเลือกให้เหมาะกับการใช้งานแต่ละรูปแบบ เช่น ถ่ายแนวตั้งสำหรับโซเชียล หรือแนวนอนสำหรับจัดแทรกในวิดีโอ
ความกว้างของเลนส์ที่ให้มุมมองเทียบเท่าเลนส์ 14.27 มม. (ในหน่วยฟูลเฟรม) ช่วยให้เก็บภาพมุมกว้างได้สะใจ โดยไม่เกิดอาการบิดเบี้ยวเกินไป และหากไม่ชอบภาพที่ดูโค้ง Action มากเกินไป ก็สามารถปรับเป็น Linear POV เพื่อให้ภาพดูธรรมชาติ เหมาะสำหรับถ่าย Vlog หรือสัมภาษณ์ที่ต้องการมุมมองเรียลแต่ไม่ผิดเพี้ยน
จากการใช้งานจริง สิ่งที่โดดเด่นมากคือการปรับแสงแบบเรียลไทม์ของกล้อง เมื่อเปลี่ยนจากพื้นที่มืดไปยังพื้นที่สว่าง กล้องจะปรับ Exposure ได้รวดเร็ว ไม่ทำให้ภาพติดมืดหรือติดสว่างจนเสียรายละเอียด และเลนส์ยังผ่านการเคลือบพิเศษ ช่วยลดแสงแฟลร์เวลาถ่ายย้อนแดดได้อย่างดีอีกด้วย
ในภาพรวม Insta360 Go Ultra แสดงศักยภาพด้านการถ่ายภาพและวิดีโอได้อย่างเกินตัว ด้วยสเปคที่บางกล้องใหญ่ยังต้องอาย แต่กลับใส่มาในบอดี้ที่เล็กเท่านาฬิกาข้อมือ ซึ่งไม่เพียงตอบโจทย์ด้านคุณภาพ แต่ยังเปลี่ยนประสบการณ์การถ่ายคอนเทนต์ให้สนุกและง่ายขึ้นในทุกวัน
ประสบการณ์ใช้งานจริงที่เกินคาด กับกล้องจิ๋วที่พร้อมไปกับคุณทุกที่
Insta360 Go Ultra ไม่ใช่เพียงกล้องแอคชั่นที่เบาและเล็ก แต่เป็นกล้องที่มาพร้อมแนวคิด “กล้องติดตัวได้ทุกวัน” อย่างแท้จริง จากการใช้งานจริง จุดเด่นที่สัมผัสได้ทันทีคือความสะดวกในการพกพาและติดตั้งในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะคล้องคอเดินเล่นในตลาดนัด ติดไว้บนหมวกขณะปั่นจักรยาน ห้อยกับปกเสื้อเวลาเดินเที่ยวเมือง หรือแม้แต่ติดไว้บนหลังสุนัขเพื่อถ่ายมุมมองจากสัตว์เลี้ยง ก็สามารถทำได้ทันทีโดยไม่ต้องพึ่งอุปกรณ์เสริมพิเศษ นี่คืออิสระของการถ่ายแบบ POV ที่หลายคนตามหา
ความสามารถในการแยกกล้องออกจาก Action Pod แล้วใช้งานแบบไร้สายผ่านการเชื่อมต่อ Bluetooth และ Wi-Fi ทำให้การจัดวางกล้องในมุมแปลกใหม่ทำได้อย่างอิสระ ยิ่งเมื่อใช้งานร่วมกับอุปกรณ์อย่าง Magnet Pendant หรือ Sticky Tabs ก็สามารถเก็บช็อตจากมุมมองที่แทบไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน เช่น ติดไว้ด้านในหน้าต่างรถ หรือถ่ายคลิประหว่างว่ายน้ำแบบไร้กังวล
เมื่อจบการถ่ายทำ สิ่งที่ Insta360 ทำได้ดีมากคือแอปพลิเคชันที่รองรับทั้ง iOS และ Android แอปนี้ไม่ได้มีแค่การโอนถ่ายไฟล์อย่างรวดเร็ว แต่ยังมาพร้อมระบบตัดต่ออัตโนมัติที่เรียกว่า “Auto Edit” ที่ใช้ AI คัดเลือกช่วงเวลาสำคัญ ใส่เพลง ใส่เอฟเฟกต์ และตัดต่อให้อย่างชาญฉลาดภายในไม่กี่วินาที โดยผู้ใช้ไม่ต้องมีพื้นฐานด้านการตัดต่อวิดีโอเลยก็ยังใช้งานได้สบาย
สำหรับผู้ใช้ที่ชื่นชอบการแชร์บนโซเชียลมีเดีย แอป Insta360 ยังรองรับการ Export คลิปด้วยอัตราส่วนที่เหมาะสมกับแพลตฟอร์มยอดนิยม เช่น TikTok (แนวตั้ง), Instagram Reels, หรือ YouTube (แนวนอน) ทำให้ครีเอเตอร์ไม่ต้องเสียเวลาแปลงไฟล์หรือตั้งค่าซ้ำให้วุ่นวาย
ประสบการณ์จากการใช้งานจริงชี้ให้เห็นว่า Insta360 Go Ultra ไม่ได้เป็นแค่กล้องเล็ก ๆ ที่ถ่ายได้ แต่เป็น “กล้องที่พร้อมจะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน” ให้คุณสร้างสรรค์คอนเทนต์ได้ง่ายขึ้น สนุกขึ้น และเข้าถึงมุมมองใหม่ ๆ ที่กล้องทั่วไปให้ไม่ได้
Insta360 Go Ultra ควรซื้อไหม?
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ชอบใช้ชีวิตกลางแจ้ง รักการเดินทาง หรือหลงใหลในการเก็บภาพแบบ First Person Perspective (POV) Insta360 Go Ultra จะกลายเป็นเพื่อนคู่ใจตัวใหม่ของคุณอย่างแน่นอน ด้วยขนาดที่เล็กพกง่าย ความสามารถด้านวิดีโอระดับ 4K และฟีเจอร์อัจฉริยะจาก AI ที่ช่วยให้การถ่ายภาพและวิดีโอสนุกและง่ายขึ้นกว่าที่เคย กล้องตัวนี้เหมาะมากสำหรับครีเอเตอร์มือใหม่ที่ยังไม่ชำนาญด้านการตัดต่อ เพราะระบบ Auto Edit ในแอป Insta360 จะช่วยจัดการทุกอย่างให้เสร็จภายในไม่กี่คลิก
แต่ไม่ใช่แค่สายทำคอนเทนต์เท่านั้นที่เหมาะกับกล้องนี้ ผู้ใช้ทั่วไปที่แค่อยากเก็บภาพช่วงเวลาสำคัญในชีวิต เช่น งานวันเกิดลูก ทริปครอบครัว หรือแม้แต่กิจกรรมวันหยุดก็สามารถใช้ Go Ultra ได้แบบไร้กังวล เพราะการควบคุมง่าย ไม่ซับซ้อน และไม่ต้องพกอุปกรณ์เสริมมากมายให้วุ่นวาย
อย่างไรก็ตาม หากคุณคือผู้ใช้งานที่เน้นการถ่ายต่อเนื่องหลายชั่วโมงต่อวัน เช่น ใช้ถ่ายกีฬาทางไกลหรือกิจกรรมกลางแจ้งแบบ Marathon บ่อย ๆ คุณอาจรู้สึกว่าแบตเตอรี่ของกล้องตัวนี้ยังไม่เพียงพอ เนื่องจากตัวกล้องถ่ายได้ประมาณ 70 นาที และเมื่อใช้งานร่วมกับ Action Pod จะอยู่ได้ราว 200 นาที ซึ่งก็ถือว่าน่าประทับใจเมื่อเทียบกับขนาด แต่ยังไม่เท่ากล้องที่สามารถเปลี่ยนแบตได้ในสนาม อย่างไรก็ตาม Insta360 แก้เกมด้วยระบบชาร์จเร็ว ที่สามารถชาร์จจาก 0–80% ได้ภายใน 12 นาที ทำให้แม้จะต้องพักระหว่างทางเพียงไม่นาน คุณก็พร้อมกลับมาถ่ายต่อได้ทันที
ในแง่ของราคาก็จัดอยู่ในระดับกลางค่อนไปทางพรีเมียม แต่เมื่อพิจารณาจากสิ่งที่ได้—ทั้งคุณภาพภาพ ความคล่องตัว การออกแบบที่ล้ำสมัย และแอปที่ใช้งานง่าย ถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าโดยเฉพาะสำหรับคนที่อยากอัปเกรดจากกล้องมือถือหรือมองหากล้องที่ “ถ่ายแล้วแชร์ได้เลย” โดยไม่ต้องเสียเวลามากในการจัดการ
ดังนั้น หากคุณกำลังมองหากล้องที่ถ่ายได้ทุกวัน พกง่าย ใช้งานได้หลากหลายสถานการณ์ และสามารถเปิดมุมมองใหม่ ๆ ได้จริง Insta360 Go Ultra คือคำตอบที่ไม่ควรมองข้าม
Insta360 Go Ultra กล้องแอคชั่นจิ๋วแต่แจ๋ว ถ่ายสนุกทุกมุมมองแบบมือโปร
Insta360 กลับมาเขย่าตลาด กล้องแอคชั่น อีกครั้งกับรุ่นใหม่ล่าสุด Insta360 GO Ultra ที่ยังคงความเป็นกล้องจิ๋วในรูปแบบ Standalone Camera เหมือนซีรีส์ Insta360 go 3s รุ่นก่อนหน้า แต่คราวนี้อัปเกรดแบบจัดเต็มทั้งในเรื่องคุณภาพภาพ เสถียรภาพการถ่าย ความฉลาดของ AI และฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์คนที่อยากได้กล้องเล็ก ๆ ที่ถ่ายอะไรได้มากกว่าสมาร์ทโฟนทั่วไป โดยเฉพาะในมุมมองแบบ POV ที่ถ่ายจากสายตาผู้ใช้จริง
ประสบการณ์ใช้งานจริงที่เกินคาด กับกล้องจิ๋วที่พร้อมไปกับคุณทุกที่
Insta360 Go Ultra ควรซื้อไหม?