วันก่อนเรามีโอกาสได้ดูภาพยนตร์เรื่อง
Svaha: The Sixth Finger (2019) และรู้สึกอยากแชร์ให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกันค่ะ (เนื้อหามีสปอยนะคะ)
สำหรับคนที่ยังไม่ได้ดู แนะนำให้ดูให้จบก่อนแล้วค่อยอ่านนะคะ ถ้าพร้อมแล้ว เรามาอ่านไปด้วยกันเลยค่ะ
ภาพยนตร์สัญชาติเกาหลีเรื่องนี้ออกฉายครั้งแรก
ในปี 2019 กำกับโดย ”คุณจางแจฮยอน“ ซึ่งผสมผสานระหว่างแนวสยองขวัญและสืบสวนสอบสวน ในขณะเดียวกันก็สะท้อนถึงปัญหาในสังคม ความเชื่อทางศาสนา และธรรมชาติของความดีและความชั่วในตัวมนุษย์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้เพียงเล่าเรื่องราวของลัทธิและความลึกลับเท่านั้น แต่ยังใช้สัญลักษณ์และตัวละครเพื่อตั้งคำถามลึก ๆ ต่อความเชื่อและความศรัทธาของมนุษย์
⚪️ที่มาของชื่อเรื่อง “Svaha” มาจากภาษาสันสกฤต แปลว่า “So be it” หรือ “มันก็เป็นเช่นนั้นแล” ซึ่งใช้ลงท้ายบทสวดในศาสนาฮินดูและพุทธตันตระ โดยเฉพาะเมื่อมีการถวายเครื่องบูชาแด่เทพเจ้าในพิธีกรรมไฟ (Fire Offering).การเลือกคำนี้เป็นชื่อเรื่องไม่ได้เป็นเพียงสัญลักษณ์ทางศาสนา แต่คือการประกาศ “สารหลัก” ของภาพยนตร์ค่ะ *️⃣การยอมรับว่าทุกสิ่งในโลกดำเนินไปตามเหตุแห่งกรรม
🟢เนื้อเรื่องโดยสังเขป
เรื่องราวเริ่มต้นในปี 1999 ที่หมู่บ้านชนบทในจังหวัดคังวอน เกิดเหตุการณ์ที่เด็กแฝดหญิงหนึ่งคู่เกิดมาพร้อมลักษณะผิดปกติ แฝดพี่มีรูปร่างเหมือนสัตว์ และแฝดน้องถูกทำร้ายขณะที่อยู่ในท้องแม่ ความผิดปกตินี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องทางกายภาพ แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของ “มาร” ที่ลัทธิศาสนาหนึ่งเชื่อว่าจะเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้
ศาสนาจารย์ปาร์ก ตัวเอกของเรื่อง ทำหน้าที่สืบสวนเพื่อเปิดโปงลัทธิ Neun Gwang (เนินกวาง) ซึ่งก่อตั้งโดยคิมเจซอก ผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นพระศรีอริยเมตไตรย อันเป็นพระอรหันต์ที่บรรลุการไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตาย ตามคำสอนแบบพุทธของญี่ปุ่น แต่คำทำนายขององค์ลามะจากธิเบตในปี 1985 ทำให้เขาเกิดความกลัวว่าตนจะถูกมารทำร้ายในปี 1999 คิมเจซอกจึงก่อตั้งลัทธิเพื่อสังหารเด็กหญิง 81 คนที่เกิดในช่วงเวลานั้น ซึ่งเขาเชื่อว่าเป็นมารทั้ง 81 ตน พร้อมกับล้างสมองเด็กชาย 4 คนให้เชื่อว่าตนเป็นเทพจตุรเทพที่จะทำลายมารเหล่านี้
แต่ในเวลาเดียวกัน ณ หมู่บ้านห่างไกลแห่งหนึ่ง มีหญิงสาวคนหนึ่งให้กำเนิดแฝดหญิง ซึ่งแฝดพี่มีลักษณะผิดธรรมชาติ มีขนและดวงตาไม่เหมือนมนุษย์ เธอคือ “มาร” ตามคำทำนาย ในขณะที่แฝดน้องอ่อนแอและถูกกัดขาในท้อง ตลอดชีวิต แฝดพี่ถูกขังอยู่ในบ้าน ถูกมองว่าเป็นตัวอัปมงคล มีเพียงเสียงสวดมนต์ของยายของเธอที่สวดขอให้พระเจ้าช่วยไถ่บาปทุกคืน ทำให้เธอได้ยินและจดจำ บทสวดนั้นกลายเป็น “ประตูแห่งการเปลี่ยนแปลง” ที่ทำให้เธอเริ่มเรียนรู้ความสงบ และชำระจิตใจจากความมืด จนกลายเป็นพระศรีอาริยเมตไตรยองค์ใหม่ องค์เดียวกับที่คอยปกป้อง จองนาฮัน (คนที่ถูกสมมติว่าเป็นเทพองค์หนึ่งในจำนวน 4 จตุรเทพ ที่ยังมีชีวิตอยู่) ไม่ให้ถูกผีเด็กๆที่จองนาฮันฆ่าตายไปเป็นจำนวนมากที่คอยตามรังควาญทุกค่ำคืน
เรื่องราวนี้จึงสะท้อนความย้อนแย้งที่น่าสนใจมากๆเลยค่ะ : พระศรีอริยเมตไตรยองค์เดิม ซึ่งเป็นผู้ศรัทธาและตั้งลัทธิเพื่อความดี กลับกลายเป็นมาร และมารที่ควรทำลายพระศรีอริยเมตไตรยกลับกลายเป็นองค์ศาสดาองค์ใหม่ ที่คอยสร้างความดีและปกป้องผู้คน
🔸หนึ่งในจุดเด่นของภาพยนตร์เรื่องนี้คือการใช้สัญลักษณ์ทางศาสนาและความเชื่อเพื่อสื่อสารแนวคิดลึกๆ
1️⃣ศรัทธาและความกลัว: สองด้านของเหรียญเดียวกัน
คิมเจซอกเริ่มต้นจากความศรัทธาอันแรงกล้า แต่เมื่อศรัทธานั้นถูกท้าทายด้วยคำทำนาย เขากลับกลัวจนสูญเสียศีลธรรม นี่คือการเปรียบเปรยว่า “ศรัทธาโดยปราศจากปัญญา” สามารถกลายเป็นอาวุธร้ายแรงได้
⭐️ภาพยนตร์จึงตั้งคำถามว่า “เมื่อศาสนาอยู่ในมือของคนที่กลัวและต้องการอำนาจ มันยังเป็นศาสนาอยู่หรือไม่?”
2️⃣แฝดพี่และแฝดน้อง: ความดีและความชั่วในตัวมนุษย์
แฝดพี่ที่ถูกเรียกว่า “มาร” เป็นตัวแทนของสัญชาตญาณดิบ ความกลัว และความโดดเดี่ยว ขณะที่แฝดน้องเป็นตัวแทนของความบริสุทธิ์และความหวัง การกัดกินขาของน้องในท้องแม่เป็นสัญลักษณ์ของ “ความดีและความชั่วที่ต้องอยู่ร่วมกัน” ไม่มีใครดีหรือชั่วบริสุทธิ์อย่างแท้จริง
3️⃣เสียงสวดของยาย: การขัดเกลาจิตใจ
เสียงสวดมนต์ที่มารได้ยินทุกคืนคือสัญลักษณ์ของ “กรรมที่ดี” ซึ่งค่อย ๆ กลั่นกรองจิตมืดให้สว่างขึ้น
⭐️ภาพยนต์ต้องการบอกว่า “แม้ในความมืดที่สุด หากยังมีเสียงแห่งธรรมะเพียงเบา ๆ มันก็อาจชี้ทางสว่างได้”
4️⃣ “สวาหะ” การยอมรับชะตา
คำว่า Svaha ในศาสนาฮินดูและพุทธตันตระเป็นคำลงท้ายบทสวดเมื่อถวายของให้ไฟ หมายถึงการยอมรับผลแห่งกรรมและปล่อยวาง การใช้คำนี้เป็นชื่อเรื่องจึงหมายความว่า “ไม่ว่าใครจะพยายามหลีกเลี่ยงกรรมเพียงใด สุดท้ายทุกสิ่งย่อมเป็นเช่นนั้น”
👼🏻ตัวละครและการตีความทางจิตวิทยา
🤵🏻♂️คิมเจซอก : แทนความโลภและความกลัวในใจมนุษย์ เขาไม่ต้องการตาย แม้จะเข้าใจคำสอนเรื่องอนิจจัง แต่กลับไม่อาจปล่อยวาง
👩🏻แฝดพี่ (มาร) : ตัวแทนของความทุกข์และความสับสนในจิต เมื่อได้เรียนรู้บทสวดจากยาย เธอจึงเปลี่ยนจากมารเป็นพระศรีอาริย์ใหม่ แสดงถึง “การหลุดพ้นด้วยปัญญา”
👨🏻ศาสนาจารย์ปาร์ก : ตัวแทนของเหตุผลและวิทยาศาสตร์ เขาคือผู้สังเกตการณ์ที่ไม่เข้าข้างศาสนาใด แต่สุดท้ายก็ต้องเผชิญความจริงว่าแม้แต่เขาเองก็ไม่อาจเข้าใจ “สิ่งเหนือเหตุผล” ได้ทั้งหมด
🌿การตีความเชิงศาสนาและปรัชญา
ภาพยนตร์สื่อถึงความขัดแย้งระหว่าง ศาสนาในฐานะหลักธรรม และ ศาสนาในฐานะเครื่องมือของอำนาจ
สิ่งที่คิมเจซอกทำสะท้อนการใช้ศาสนาเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับความรุนแรง เช่นเดียวกับที่โลกจริงเคยมีการอ้างศาสนาในการทำสงครามหรือการฆ่าหมู่
ส่วน “มาร” กลับกลายเป็นผู้มีเมตตา เพราะผ่านความเจ็บปวดและเข้าใจความทุกข์ของผู้อื่น หนังจึงชี้ว่า “พระศรีอาริยเมตไตรองค์ใหม่” ไม่ได้เกิดจากการบำเพ็ญเพียร แต่เกิดจากการเข้าใจในทุกข์และให้อภัย
🍀ภาพยนตร์เรื่อง Svaha: The Sixth Finger ไม่ใช่เพียงหนังสยองขวัญ แต่เป็น “บทภาวนาแห่งศรัทธา” ที่ตั้งคำถามว่า “ในโลกที่ทุกคนต่างอ้างตนว่าศรัทธา ใครกันแน่ที่เข้าใจศาสนาอย่างแท้จริง?” เรื่องราวของคิมเจซอกและแฝดพี่คือตัวอย่างของการเปลี่ยนผ่านจากแสงสว่างสู่ความมืด และจากความมืดสู่การตรัสรู้ การย้อนแย้งนี้คือหัวใจของหนังทั้งหมด และเป็นสิ่งที่ทำให้ชื่อเรื่อง “สวาหะ” มีความหมายลึกซึ้ง “ทุกสิ่งย่อมเป็นเช่นนั้น ไม่อาจหนีกรรมได้เลย“
ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ใช่หนังที่จะให้คำตอบ แต่เป็นหนังที่ “ตั้งคำถาม” ให้ผู้ชมได้กลับไปพิจารณาศรัทธาของตนเอง
มันไม่เพียงสะท้อนภาพของลัทธิสุดโต่งในเกาหลีใต้ แต่ยังสะท้อนสภาพจิตใจของมนุษย์ในยุคที่ “ความกลัว” ถูกห่อหุ้มด้วยคำว่า “ศรัทธา”
และบางที นี่อาจเป็นสารที่ผู้กำกับอยากฝากไว้กับคนดูทุกคน:
“ศรัทธาที่แท้จริง ไม่ใช่การหนีมาร แต่คือการยอมรับว่ามารนั้นอยู่ในตัวเราเสมอ แล้วขัดเกลามันด้วยความเข้าใจ”
[CR] Svaha: The Sixth Finger (2019)
Svaha: The Sixth Finger (2019) และรู้สึกอยากแชร์ให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกันค่ะ (เนื้อหามีสปอยนะคะ)
สำหรับคนที่ยังไม่ได้ดู แนะนำให้ดูให้จบก่อนแล้วค่อยอ่านนะคะ ถ้าพร้อมแล้ว เรามาอ่านไปด้วยกันเลยค่ะ
ภาพยนตร์สัญชาติเกาหลีเรื่องนี้ออกฉายครั้งแรก
ในปี 2019 กำกับโดย ”คุณจางแจฮยอน“ ซึ่งผสมผสานระหว่างแนวสยองขวัญและสืบสวนสอบสวน ในขณะเดียวกันก็สะท้อนถึงปัญหาในสังคม ความเชื่อทางศาสนา และธรรมชาติของความดีและความชั่วในตัวมนุษย์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้เพียงเล่าเรื่องราวของลัทธิและความลึกลับเท่านั้น แต่ยังใช้สัญลักษณ์และตัวละครเพื่อตั้งคำถามลึก ๆ ต่อความเชื่อและความศรัทธาของมนุษย์
⚪️ที่มาของชื่อเรื่อง “Svaha” มาจากภาษาสันสกฤต แปลว่า “So be it” หรือ “มันก็เป็นเช่นนั้นแล” ซึ่งใช้ลงท้ายบทสวดในศาสนาฮินดูและพุทธตันตระ โดยเฉพาะเมื่อมีการถวายเครื่องบูชาแด่เทพเจ้าในพิธีกรรมไฟ (Fire Offering).การเลือกคำนี้เป็นชื่อเรื่องไม่ได้เป็นเพียงสัญลักษณ์ทางศาสนา แต่คือการประกาศ “สารหลัก” ของภาพยนตร์ค่ะ *️⃣การยอมรับว่าทุกสิ่งในโลกดำเนินไปตามเหตุแห่งกรรม
🟢เนื้อเรื่องโดยสังเขป
เรื่องราวเริ่มต้นในปี 1999 ที่หมู่บ้านชนบทในจังหวัดคังวอน เกิดเหตุการณ์ที่เด็กแฝดหญิงหนึ่งคู่เกิดมาพร้อมลักษณะผิดปกติ แฝดพี่มีรูปร่างเหมือนสัตว์ และแฝดน้องถูกทำร้ายขณะที่อยู่ในท้องแม่ ความผิดปกตินี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องทางกายภาพ แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของ “มาร” ที่ลัทธิศาสนาหนึ่งเชื่อว่าจะเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้
ศาสนาจารย์ปาร์ก ตัวเอกของเรื่อง ทำหน้าที่สืบสวนเพื่อเปิดโปงลัทธิ Neun Gwang (เนินกวาง) ซึ่งก่อตั้งโดยคิมเจซอก ผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นพระศรีอริยเมตไตรย อันเป็นพระอรหันต์ที่บรรลุการไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตาย ตามคำสอนแบบพุทธของญี่ปุ่น แต่คำทำนายขององค์ลามะจากธิเบตในปี 1985 ทำให้เขาเกิดความกลัวว่าตนจะถูกมารทำร้ายในปี 1999 คิมเจซอกจึงก่อตั้งลัทธิเพื่อสังหารเด็กหญิง 81 คนที่เกิดในช่วงเวลานั้น ซึ่งเขาเชื่อว่าเป็นมารทั้ง 81 ตน พร้อมกับล้างสมองเด็กชาย 4 คนให้เชื่อว่าตนเป็นเทพจตุรเทพที่จะทำลายมารเหล่านี้
แต่ในเวลาเดียวกัน ณ หมู่บ้านห่างไกลแห่งหนึ่ง มีหญิงสาวคนหนึ่งให้กำเนิดแฝดหญิง ซึ่งแฝดพี่มีลักษณะผิดธรรมชาติ มีขนและดวงตาไม่เหมือนมนุษย์ เธอคือ “มาร” ตามคำทำนาย ในขณะที่แฝดน้องอ่อนแอและถูกกัดขาในท้อง ตลอดชีวิต แฝดพี่ถูกขังอยู่ในบ้าน ถูกมองว่าเป็นตัวอัปมงคล มีเพียงเสียงสวดมนต์ของยายของเธอที่สวดขอให้พระเจ้าช่วยไถ่บาปทุกคืน ทำให้เธอได้ยินและจดจำ บทสวดนั้นกลายเป็น “ประตูแห่งการเปลี่ยนแปลง” ที่ทำให้เธอเริ่มเรียนรู้ความสงบ และชำระจิตใจจากความมืด จนกลายเป็นพระศรีอาริยเมตไตรยองค์ใหม่ องค์เดียวกับที่คอยปกป้อง จองนาฮัน (คนที่ถูกสมมติว่าเป็นเทพองค์หนึ่งในจำนวน 4 จตุรเทพ ที่ยังมีชีวิตอยู่) ไม่ให้ถูกผีเด็กๆที่จองนาฮันฆ่าตายไปเป็นจำนวนมากที่คอยตามรังควาญทุกค่ำคืน
เรื่องราวนี้จึงสะท้อนความย้อนแย้งที่น่าสนใจมากๆเลยค่ะ : พระศรีอริยเมตไตรยองค์เดิม ซึ่งเป็นผู้ศรัทธาและตั้งลัทธิเพื่อความดี กลับกลายเป็นมาร และมารที่ควรทำลายพระศรีอริยเมตไตรยกลับกลายเป็นองค์ศาสดาองค์ใหม่ ที่คอยสร้างความดีและปกป้องผู้คน
🔸หนึ่งในจุดเด่นของภาพยนตร์เรื่องนี้คือการใช้สัญลักษณ์ทางศาสนาและความเชื่อเพื่อสื่อสารแนวคิดลึกๆ
1️⃣ศรัทธาและความกลัว: สองด้านของเหรียญเดียวกัน
คิมเจซอกเริ่มต้นจากความศรัทธาอันแรงกล้า แต่เมื่อศรัทธานั้นถูกท้าทายด้วยคำทำนาย เขากลับกลัวจนสูญเสียศีลธรรม นี่คือการเปรียบเปรยว่า “ศรัทธาโดยปราศจากปัญญา” สามารถกลายเป็นอาวุธร้ายแรงได้
⭐️ภาพยนตร์จึงตั้งคำถามว่า “เมื่อศาสนาอยู่ในมือของคนที่กลัวและต้องการอำนาจ มันยังเป็นศาสนาอยู่หรือไม่?”
2️⃣แฝดพี่และแฝดน้อง: ความดีและความชั่วในตัวมนุษย์
แฝดพี่ที่ถูกเรียกว่า “มาร” เป็นตัวแทนของสัญชาตญาณดิบ ความกลัว และความโดดเดี่ยว ขณะที่แฝดน้องเป็นตัวแทนของความบริสุทธิ์และความหวัง การกัดกินขาของน้องในท้องแม่เป็นสัญลักษณ์ของ “ความดีและความชั่วที่ต้องอยู่ร่วมกัน” ไม่มีใครดีหรือชั่วบริสุทธิ์อย่างแท้จริง
3️⃣เสียงสวดของยาย: การขัดเกลาจิตใจ
เสียงสวดมนต์ที่มารได้ยินทุกคืนคือสัญลักษณ์ของ “กรรมที่ดี” ซึ่งค่อย ๆ กลั่นกรองจิตมืดให้สว่างขึ้น
⭐️ภาพยนต์ต้องการบอกว่า “แม้ในความมืดที่สุด หากยังมีเสียงแห่งธรรมะเพียงเบา ๆ มันก็อาจชี้ทางสว่างได้”
4️⃣ “สวาหะ” การยอมรับชะตา
คำว่า Svaha ในศาสนาฮินดูและพุทธตันตระเป็นคำลงท้ายบทสวดเมื่อถวายของให้ไฟ หมายถึงการยอมรับผลแห่งกรรมและปล่อยวาง การใช้คำนี้เป็นชื่อเรื่องจึงหมายความว่า “ไม่ว่าใครจะพยายามหลีกเลี่ยงกรรมเพียงใด สุดท้ายทุกสิ่งย่อมเป็นเช่นนั้น”
👼🏻ตัวละครและการตีความทางจิตวิทยา
🤵🏻♂️คิมเจซอก : แทนความโลภและความกลัวในใจมนุษย์ เขาไม่ต้องการตาย แม้จะเข้าใจคำสอนเรื่องอนิจจัง แต่กลับไม่อาจปล่อยวาง
👩🏻แฝดพี่ (มาร) : ตัวแทนของความทุกข์และความสับสนในจิต เมื่อได้เรียนรู้บทสวดจากยาย เธอจึงเปลี่ยนจากมารเป็นพระศรีอาริย์ใหม่ แสดงถึง “การหลุดพ้นด้วยปัญญา”
👨🏻ศาสนาจารย์ปาร์ก : ตัวแทนของเหตุผลและวิทยาศาสตร์ เขาคือผู้สังเกตการณ์ที่ไม่เข้าข้างศาสนาใด แต่สุดท้ายก็ต้องเผชิญความจริงว่าแม้แต่เขาเองก็ไม่อาจเข้าใจ “สิ่งเหนือเหตุผล” ได้ทั้งหมด
🌿การตีความเชิงศาสนาและปรัชญา
ภาพยนตร์สื่อถึงความขัดแย้งระหว่าง ศาสนาในฐานะหลักธรรม และ ศาสนาในฐานะเครื่องมือของอำนาจ
สิ่งที่คิมเจซอกทำสะท้อนการใช้ศาสนาเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับความรุนแรง เช่นเดียวกับที่โลกจริงเคยมีการอ้างศาสนาในการทำสงครามหรือการฆ่าหมู่
ส่วน “มาร” กลับกลายเป็นผู้มีเมตตา เพราะผ่านความเจ็บปวดและเข้าใจความทุกข์ของผู้อื่น หนังจึงชี้ว่า “พระศรีอาริยเมตไตรองค์ใหม่” ไม่ได้เกิดจากการบำเพ็ญเพียร แต่เกิดจากการเข้าใจในทุกข์และให้อภัย
🍀ภาพยนตร์เรื่อง Svaha: The Sixth Finger ไม่ใช่เพียงหนังสยองขวัญ แต่เป็น “บทภาวนาแห่งศรัทธา” ที่ตั้งคำถามว่า “ในโลกที่ทุกคนต่างอ้างตนว่าศรัทธา ใครกันแน่ที่เข้าใจศาสนาอย่างแท้จริง?” เรื่องราวของคิมเจซอกและแฝดพี่คือตัวอย่างของการเปลี่ยนผ่านจากแสงสว่างสู่ความมืด และจากความมืดสู่การตรัสรู้ การย้อนแย้งนี้คือหัวใจของหนังทั้งหมด และเป็นสิ่งที่ทำให้ชื่อเรื่อง “สวาหะ” มีความหมายลึกซึ้ง “ทุกสิ่งย่อมเป็นเช่นนั้น ไม่อาจหนีกรรมได้เลย“
ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ใช่หนังที่จะให้คำตอบ แต่เป็นหนังที่ “ตั้งคำถาม” ให้ผู้ชมได้กลับไปพิจารณาศรัทธาของตนเอง
มันไม่เพียงสะท้อนภาพของลัทธิสุดโต่งในเกาหลีใต้ แต่ยังสะท้อนสภาพจิตใจของมนุษย์ในยุคที่ “ความกลัว” ถูกห่อหุ้มด้วยคำว่า “ศรัทธา”
และบางที นี่อาจเป็นสารที่ผู้กำกับอยากฝากไว้กับคนดูทุกคน:
“ศรัทธาที่แท้จริง ไม่ใช่การหนีมาร แต่คือการยอมรับว่ามารนั้นอยู่ในตัวเราเสมอ แล้วขัดเกลามันด้วยความเข้าใจ”
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้