เมื่อสามีเป็น NPD (Narcisistic Personality Disorder) จากเหยื่อ

ดิฉันขออนุญาตใช้พื้นที่ ในชุมชนพันทิป เพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้แก่ผู้หญิงที่อาจตกอยู่ในความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ (Toxic Relationship) ทำให้ไม่มีความสุข จนส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อสุขภาพกาย สุขภาพจิต และชีวิตประจำวัน
ดิฉันขอเริ่มต้นอย่างนี้ ดิฉันเป็นข้าราชการในตำแหน่งที่เป็นที่เคารพเชื่อถือของบุคคลทั่วไป และมีรายได้มากกว่าข้าราชการตามปกติ จะพูดว่าชีวิตมีแต่ความสุขสบายก็เป็นได้เพราะคุณพ่อคุณแม่ของดิฉันไม่เคยบังคับฝืนใจกลับเลี้ยงดูอย่างเอาใจใส่เท่าที่ท่านทั้งสองจะทำได้ เนื่องจากถ้ามีภาระต้องดูแลลูกหลายคน ดิฉันจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงระดับประเทศทั้งปริญญาตรี และปริญญาโท  ทั้งยังได้รับทุนการศึกษาจากหน่วยงานราชการที่สังกัดอยู่ไปศึกษาระดับปริญญาโทที่ต่างประเทศ ดิฉันเล่าภูมิหลังไม่ได้ตั้งใจจะอวดอ้าง แต่จะแสดงให้เห็นว่าไม่ว่าผู้หญิงเราจะมีความรู้การศึกษาในระดับไหนก็สามารถที่จะตกเป็นเหยื่อในความสัมพันธ์ที่เป็นพิษได้เสมอ
ขอเล่าว่าดิฉันได้มาเจอสามีซึ่งเป็นข้าราชการหน่วยงานเดียวกันเมื่อตอนที่ดิฉันมีอายุ 47 ปี ก่อนหน้านั้นดิฉัน มีคู่รักอยู่ตลอด แต่ก็ไม่ได้ลงเอยกันเนื่องจากยังมีข้อขัดข้องบางอย่างซึ่งดิฉันคิดว่าน่าจะไม่ใช่เนื้อคู่กัน สามีดิฉันอายุมากกว่าดิฉันประมาณ 13 ปี เท่ากับว่าเราทั้งคู่อยู่ในวัยผู้ใหญ่มากแล้ว สามีดิฉันมีบุตรกับภรรยาผู้ล่วงลับหนึ่งคนก่อนที่สามีดิฉันจะมาทำความรู้จักดิฉัน ภรรยาได้ล่วงลับไปประมาณสามปีเศษ ขณะที่สามีมาทำความรู้จักได้แสดงความสนใจในตัวดิฉันและได้บอกกับดิฉันว่าตั้งใจที่จะจริงจังและอยู่ดูแลกันไปจนแก่เฒ่าและขอให้ดิฉันไปอยู่บ้านเดียวกันกับสามีดิ ฉันได้สอบถามบุคคลที่รู้จักสามีดิฉันว่าสามีดิฉันเป็นคนอย่างไร ซึ่งทุกคนต่างกล่าวว่าเป็นคนดีมาก ขณะทำความรู้จักกันดิฉันรู้สึกเหมือนเจอคนที่ใช่ เพราะความชอบทุกอย่างเหมือนกัน เป้าหมายในชีวิตเหมือนกัน เช่น ต้องการที่จะอยู่ดูแลกัน ซึ่งขณะนั้นคุณพ่อของดิฉันป่วยอยู่ในห้องไอซียู ส่วนคุณแม่เสียชีวิตไปแล้วหลายปี ดิฉันไม่อยากใช้ชีวิตอยู่คนเดียวและสามีก็เป็นคนที่เข้ากันได้อย่างไม่น่าเชื่อ เช่น ดิฉันบอกว่าดิฉันอยากหัดเล่นกอล์ฟเนื่องจากสามีเล่นอยู่แล้วและดิฉันมีอุปกรณ์พร้อม ซึ่งสามีให้ความเห็นว่าดีจะได้ไปออกรอบด้วยกันตอนแก่ นอกจากนั้นสามียังเสนอว่าจะไปเที่ยวต่างประเทศแถบยุโรปเพื่อท่องเที่ยวปีละสองครั้ง  ทั้งยังจะมอบเงินเป็นค่าเลี้ยงดูให้ดิฉัน 20,000 บาททุกเดือน หรือเมื่อตอนที่ดิฉันตกลงปลงใจแล้ว สามีแจ้งว่าจะรีโนเวทบ้านที่เคยอยู่กับภรรยาผู้ล่วงลับเปลี่ยนเตียงนอนใหม่ให้ เนื่องจากดิฉันไม่เคยสมรสมาก่อนและดิฉันอยากจะนอนบนเตียงที่เป็นเตียงนอนของดิฉันกับสามี ซึ่งสามีก็เห็นดีเห็นงามไม่มีข้อโต้แย้งอะไร ดิฉันเคยแจ้งสามีว่าถ้าดิฉันย้ายออกจากบ้านที่อยู่ปัจจุบัน (บ้านมรดก) พี่และหลาน ๆ คงจะต้องเข้ามาอาศัยอยู่ ดังนั้นหากสามีเป็นอะไรไปก่อน ก็อยากจะให้สามีมอบบ้านของสามีที่จะอยู่ด้วยกันให้เป็นสิทธิของดิฉัน ซึ่งดิฉันสัญญาว่าจะส่งมอบให้บุตรชายของสามีเมื่อดิฉันไม่จำเป็นต้องใช้อีกแล้ว เพราะหากดิฉันจะต้องย้ายกลับบ้านเดิมในกรณีที่สามีเสียชีวิตน่าจะลำบาก และหากไม่มีที่อยู่ดิฉันคงจะต้องไปหาบ้านเช่าอยู่ ซึ่งสามีตอบว่าลูกชายจะต้องไปหาที่อยู่ใหม่อยู่แล้วจึงไม่มีปัญหาในเรื่องดังกล่าว
เมื่อคบกันไปได้ระยะหนึ่งประมาณเดือนเศษ ดิฉันตัดสินใจได้แน่นอนเลยว่าสามีคือคนที่ใช่สำหรับดิฉัน ดิฉันได้แจ้งพี่สาวคนโตซึ่งขณะนั้นเปรียบเสมือนหัวหน้าครอบครัวว่าได้เจอคนที่ใช่แล้ว ซึ่งพี่สาวยังพูดว่าทำไมรวดเร็วเช่นนี้ แต่ดิฉันมั่นใจเพราะไม่ว่าอะไรเรื่องใดก็มีความคิดเห็นตรงกัน สามีไม่เคยขัดแย้งเห็นดีเห็นงามด้วยตลอด
แต่จนถึงปัจจุบันเป็นเวลาเจ็ดปีสามีก็ไม่เคยที่จะรีโนเวทบ้านให้หรือจัดขยะสิ่งของเกะกะต่างๆเพื่อให้ดิฉันได้มีพื้นที่เป็นส่วนตัว แต่กลับปรากฏของของภรรยาผู้ล่วงลับและสิ่งของต่างๆตั้งแต่สมัยบุตรชายของสามีอยู่ชั้นประถมเช่นหนังสือเรียนกระเป๋านักเรียนชุด รด ซึ่งทำให้ดิฉันไม่สามารถเข้าไปพักอาศัยได้คงไปเพียงวันหยุดเท่านั้น
นอกจากนั้นเมื่อดิฉันได้จดทะเบียนสมรสเมื่อประมาณปี 2561 ซึ่งได้ตกลงกับสามีว่าจะมีการจัดงานแต่งงานเล็ก ๆ เฉพาะญาติและผู้ใหญ่ที่นับถือเท่านั้น แต่เนื่องจากขณะนั้นบิดาของดิฉันถึงแก่กรรมจึงไม่อาจจัดงานได้และตกลงการจะจัดงานในปีต่อไป เมื่อครบหนึ่งปีดิฉันได้ไปดูสถานที่ที่วัดเชตุพนวิมลมังฆารามเพื่อที่จะจัดงานสมรสเล็ก ๆ แต่เมื่อติดต่อไปยังสามีกลับไม่แจ้งวันที่ว่างเพื่อนัดหมายกับทางวัด ทั้ง ๆ ที่ขณะนั้นงานของสามีไม่ได้มากมายนัก
ดิฉันต้องบอกก่อนว่าดิฉันมีหลานสาวสี่คนโดยไม่มีหลานชาย ดังนั้นดิฉันกังวลว่าการที่ดิฉันได้จดทะเบียนสมรสและมีความสัมพันธ์โดยไม่ได้มีการจัดงานสมรสจะเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีแก่หลานสาวทั้งสี่คน และเพื่อไม่ให้มีข้อสงสัยในหมู่พี่ ๆ และหลาน ๆ ดิฉันจึงขอย้ายไปรับราชการที่ต่างจังหวัดเพื่อเป็นเหตุผลว่าทำไมถึงไม่ได้อยู่ร่วมกับสามีของดิฉันเพราะขณะนั้นดิฉันยังต้องพักอาศัยอยู่ที่บ้านของบิดามารดาเพียงลำพัง และดิฉันคิดว่าเป็นการใช้ไม้แข็งกับสามี เพราะก่อนหน้านั้นที่ฉันได้ทวงถามกับสามี หลายครั้งว่าเคยสัญญาว่าจะรีโนเวทบ้านให้จะจัดงานแต่งงานเพื่อให้ดิฉันเปลี่ยนนามสกุลมาใช้นามสกุลสามี ทั้งที่ดิฉันได้เสนอตัวที่จะช่วยเหลือในการจัดแจงบ้านและให้ความเห็นในการรีโนเวทบ้าน แต่สามีกลับตอบว่าไม่ต้องพูดถึงเรื่องในอดีต และเพราะดิฉันชอบทวงถามเช่นนี้ต่อไปสามีจะไม่สัญญาอะไรด้วยอีกแล้ว
เมื่อดิฉันไปรับราชการที่ต่างจังหวัดสามีดิฉันเดินทางไปหาดิฉันเพียงห้าครั้งในระยะเวลาสองปี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการเดินทางไปเพื่อร่วมงานของที่ทำงานหรือของจังหวัด แต่ดิฉันเป็นผู้เดินทางโดยขับรถหรือนั่งเครื่องบินหรือนั่งรถไฟซึ่งหากเป็นการนั่งรถไฟใช้เวลาทั้งคืน สม่ำเสมอเมื่อมีโอกาส แต่เมื่อพบหน้าสามีบ่อยครั้งที่สามีจะมีสีหน้าบึ้งตึงเหมือนว่าดิฉันได้ทำอะไรให้ไม่พอใจซึ่งดิฉันพยายามถามว่าทำไมถึงหน้าบึ้งตึงกลับได้รับคำตอบว่าไม่ต้องยุ่งเดี๋ยวหายเอง ซึ่งก่อให้เกิดความไม่สบายใจของดิฉัน
ย้อนไปในระหว่างที่ดิฉันเริ่มมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสามี ดิฉันบอกสามีว่าดิฉันเป็นคนชอบสัมผัสไม่ใช่การสัมผัสเพื่อมีเพศสัมพันธ์แต่การสัมผัสการโอบกอดจะทำให้รู้สึกถึงความอบอุ่นและความรู้สึกว่ามีใครสักคนที่เป็นพวกเราแน่ ๆ ซึ่งสามีบอกว่าชอบเหมือนกัน แต่ระยะเวลาผ่านไปได้ไม่นาน หลังจดทะเบียนสมรสกันปรากฏว่าสามีไม่ให้ถูกเนื้อต้องตัวไม่ให้เดินนั่งใกล้ ๆ แม้เวลาที่นั่งดูโทรทัศน์พักผ่อนก็ไม่ให้นั่งใกล้ ๆ กลับมีสิ่งของวางอยู่ข้างตัวสามี และทำท่ารำคาญเมื่อดิฉันเข้าไปใกล้ ขณะที่นอนร่วมเตียงกันดิฉันไม่สามารถแตะเนื้อต้องตัวสามีได้เพราะสามีจะรำคาญและแสดงท่ารังเกียจ ซึ่งทำให้ดิฉัน เสียใจน้ำตาไหลหลายครั้ง แต่ทุกครั้งสามีไม่สนใจนอนหลับได้อย่างสบายใจ นอกจากนั้น สามียังกล่าวด้วยว่าเพราะว่าดิฉันยุ่งเวลาที่สามีพักผ่อนทำให้ไม่ต้องการรีโนเวทบ้านเพื่อให้ดิฉันเข้ามาอยู่ในบ้านเช่นคู่สามีภรรยาอื่น สามีฉันจะแตะเนื้อต้องตัวฉันเฉพาะเวลาที่อยากมีเพศสัมพันธ์เท่านั้นและสิ่งที่น่าประหลาดอย่างมากคือขณะมีเพศสัมพันธ์สามีจะหลับตาตลอดเวลา และจะไม่เคยจูบริมฝีปากเหมือนมุ่งไปที่การถึงจุดสุดยอดเพียงอย่างเดียว ดิฉันเคยบอกสามีว่าความสุขของดิฉันคือเห็นสามีถึงจุดสุดยอดโดยที่ดิฉันไม่ต้องการและไม่เคยถึงจุดสุดยอด แต่ขอเพียงให้สามีกอดดิฉันหลังจากที่สามีถึงจุดสุดยอดแล้วแต่การร้องขอนั้นไม่เป็นผล ทำให้ดิฉันรู้สึกโดดเดี่ยวเป็นเหมือนเพียงผู้ให้บริการทางเพศไม่ใช่ภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมาย ทำให้การอยู่ด้วยกันแม้จดทะเบียนสมรสแล้วแต่ดิฉันรู้สึกเหมือนกลับเป็นเพียงผู้ให้บริการทางเพศเท่านั้น
แต่ดิฉันก็ยังพยายามและมีความสุขโดยดิฉันตั้งใจว่าความสัมพันธ์นี้เป็นความสัมพันธ์ที่ดิฉันเลือกแล้วดิฉันจะพยายามอย่างถึงที่สุดให้เป็นไปได้อย่างมีความสุข ทุกครั้งที่เจอกันดิฉันจะร่าเริง ใช้น้ำเสียงออดอ้อนเสียงสองเสียงสาม เพื่อให้บรรยากาศของการอยู่ด้วยกันเป็นไปด้วยดี ดิฉันสังเกตว่าสามีชอบให้ดิฉันชื่นชม เช่น หล่อจังเลย เก่งจังเลย ซึ่งสามีจะมีความสุขและบรรยากาศในการอยู่ด้วยกันก็จะดีขึ้น  ดิฉันเคยบอกสามีว่ารู้ใช่ไหมว่าที่ชมนั้นโกหก หรือบางครั้งดิฉันก็ถามสามีว่าทำไมสามีไม่ชมฉันบ้างเลย
สิ่งที่น่าประหลาดอย่างยิ่งอีกอย่างหนึ่ง คือ เวลาที่ไปเดินซื้อของที่ห้างสรรพสินค้าด้วยกัน สามีดิฉันจะเดินนำหน้าไปไกลมากประมาณสามถึงสี่เมตร ซึ่งดิฉันพยายามบอกว่าให้เดินรอด้วย แต่สามีกลับบอกว่าเป็นความผิดของดิฉันที่เดินช้า แม้ว่าบางครั้งดิฉันจะจับมือสามีไว้เพื่อไม่ให้เดินเร็วจนเกินไป ก็ปรากฏว่าสามีหักนิ้วก้อยของดิฉันจนทำให้เจ็บ พอดิฉันถามว่าทำไมถึงหักนิ้วก็ได้รับคำตอบจากสามีว่าหมั่นเขี้ยว ซึ่งการหมั่นเขี้ยวจนหักนิ้วนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนและเหตุการณ์หักนิ้วเกิดขึ้นสองครั้ง แล้วหลังจากนั้นดิฉันก็ไม่ไปไหนกับสามีอีก
พฤติกรรมของสามีที่เด่นชัดมากอีกประการหนึ่ง คือ สามีจะต้องการให้ดิฉันไปงานร่วมสังคม เช่น งานแต่ง งานบวช งานศพ งานร่วมญาติกับเขา ซึ่งตอนแรกดิฉันมองว่าเป็นการให้เกียรติและต้องการที่จะคบหาดิฉันอยากเปิดเผย สามีจะให้ดิฉันไปพบเพื่อนของสามีในกลุ่มต่าง ๆ ไปงานรวมญาติไปงานแต่งงาน ไปงานศพ ในฐานะคู่สมรสหรือคนที่สามีคบหาอยู่ แต่การไปหาเพื่อนกลุ่มต่างๆของสามีนั้นสามีจะพาไปเพียงครั้งเดียวและไม่พาไปอีก ซึ่งดิฉันสงสัยว่าทำไมถึงไม่ให้ดิฉันไปอีกเมื่อมีการสังสรรค์ในกลุ่มเพื่อนต่าง ๆ และเมื่ออยู่ต่อหน้ากลุ่มเพื่อน ญาติของสามีหรือคนที่รู้จักสามี สามีจะปฏิบัติตัวต่อดิฉันดีมาก เช่น ลากกระเป๋าเดินทางให้ ช่วยตักอาหารให้ ซึ่งปกติสามีพูดตลอดว่าไม่ให้นำของไปเยอะเวลาเดินทาง หากนำของไปเยอะให้ถือเองอย่าหวังว่าสามีจะถือให้ ซึ่งในมุมมองของดิฉันเป็นสิ่งที่ประหลาดมาก จนดิฉันเคยพูดกับสามีว่าถ้าทำดีต่อดิฉันเฉพาะต่อหน้าคนอื่นก็ไม่จำเป็นต้องทำ เพราะดิฉันไม่รู้ว่าสามีกำลังจะหลอกใครหรือว่าหลอกตัวเอง ซึ่งก็ไม่ได้รับคำตอบจากสามี
เมื่ออยู่กันประมาณสองปีสามีเริ่มให้ดิฉันนำเงินมาให้เขาเพื่อลงทุนในตลาดหุ้นโดยเสนอว่าจะให้ผลประโยชน์ในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีจากยอดเงิน ถึงกับเสนอให้ดิฉันกู้เงินจากสหกรณ์ออมทรัพย์ของที่ทำงานเพื่อให้นำเงินดังกล่าวมาให้สามีกู้ยืมเพิ่ม เนื่องจากดอกเบี้ยของสหกรณ์ออมทรัพย์ต่ำมาก ซึ่งในขณะนั้นดิฉันเชื่อใจสามีและเห็นว่าเป็นสามีจึงกู้ยืมเงินจากสหกรณ์ออมทรัพย์ให้ ขณะที่การลงทุนในตลาดหุ้นได้กำไร สามีดิฉันจ่ายดอกเบี้ยให้ตามปกติและยังหว่านล้อมว่าไม่ต้องนำเงินไปลงทุนอย่างอื่นไม่ต้องไปซื้ออสังหาริมทรัพย์อื่น เนื่องจากถ้าไม่ได้อยู่ในอสังหาริมทรัพย์นั้นจริงก็เป็นภาระ หรือไม่ต้องไปลงทุนในกองทุนต่าง ๆ เพื่อลดหย่อนภาษี เนื่องจากผลประโยชน์ที่จะได้จากการลดหย่อนภาษีกับผลประโยชน์ที่จะได้ตอบแทนจากการให้เขากู้ยืมต่างกันมาก และพูดด้วยว่าไม่มีที่ไหนให้ผลประโยชน์ได้มากกว่าให้เงินเขากู้ยืม ดังนั้น ผลประโยชน์รายเดือนที่สามีให้มาดิฉันจึงนำกลับไปให้สามีอีก
จนเมื่อการลงทุนในตลาดหุ้นไม่เป็นไปด้วยดี สามีกับกล่าวหาว่าดิฉันบังคับให้เขาต้องจ่ายผลประโยชน์ให้จำนวนมากกว่าที่ควรจะเป็น จนดิฉันแจ้งสามีว่าไม่จำเป็นต้องจ่ายผลประโยชน์ให้ดิฉันถ้าจะต้องทะเลาะกัน ซึ่งในขณะนั้นดิฉันต้องหาเงินมาเพื่อซ่อมแซมบ้านของบิดามารดาที่ดิฉันพักอยู่เนื่องจากเสื่อมโทรมไปตามสภาพบ้านที่ได้สร้างมา 30 ปี แต่สามีกลับบอกให้ดิฉันประหยัด ขณะนั้นดิฉันจะต้องผ่อนชำระเงินกู้ให้สหกรณ์ออมทรัพย์เป็นจำนวนมากจนเหลือเงินเพียงมีกินมีใช้เท่านั้น แต่ไม่มีเงินเก็บพอที่จะนำมาซ่อมแซมใหญ่ได้
ขณะที่ดิฉันพักอาศัยอยู่ที่บ้านของบิดามารดาและจะต้องเห็นสภาพบ้านทรุดโทรม ดิฉันไม่มีกำลังใจที่จะเก็บบ้านให้เรียบร้อยและรู้สึกผิดที่ไม่สามารถทำตามคำสั่งเสียของคุณพ่อที่ให้ดิฉันเป็นผู้ปกครองดูแลบ้านหลังนี้ ดิฉันคิดว่าคุณพ่อสั่งเสียไว้เช่นนั้นเนื่องจากเห็นว่าดิฉันมีรายได้สูงพอสมควร เดือนนึงประมาณเกือบ 200,000 บาท น่าจะมีศักยภาพในการซ่อมแซมบ้านหลังนี้ได้และสภาพบ้านพื้นไม้จะมีปลวกกินแต่ได้กำจัดปลวกไปแล้ว แต่ยังไงก็ตามพื
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่