หน้าไหว้ หลังหลอก
.
ดีลที่พรรคส้มไปตกลงกับพรรคน้ำเงินเพื่อให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ
.
เรียกว่าเป็น “ดีลกับปีศาจ”
.
พรรคส้มต้องการให้ร่างรัฐธรรมนูญเสร็จตามไทม์ไลน์ระยะเวลา 4 เดือน จึงต้องทำหน้าที่เป็นค้ำยันให้พรรคน้ำเงินอยู่ไปตลอดรอดฝั่ง
.
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น พรรคส้มมีหน้าที่เป็น “ฝ่ายค้านที่สนับสนุนรัฐบาล” จนครบเวลาตามที่ตกลงกันไว้
.
แล้วหวังเอาว่าจะได้รับเสียงสนับสนุนจาก ส.ว. ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะรู้เหมือนที่ทุกคนรู้ว่าใครคุม ส.ว. อยู่
.
แต่ต่อหน้า พรรคส้มต้องร่วมเล่นบท “หนูไม่รู้” กับพรรคน้ำเงิน อภิปรายทำมาดให้สมบทบาทฝ่ายค้าน (จริงๆ)
.
การที่พรรคส้มบอกว่าไม่มีดีลอะไรกับพรรคน้ำเงิน จึงเป็นเพียงการเลี่ยงไม่ให้ประชาชนทั่วไปรับรู้ความจริง
.
อำพรางไว้ด้วยการแสร้งไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคน้ำเงินใน 4 เดือนนี้ ด้วยข้ออ้างว่าจะตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลอย่างเข้มข้น
.
เมื่อฝุ่นจาง คนเริ่มเห็นความจริงว่าพรรคส้มจำเป็นต้องสนับสนุนพรรคน้ำเงินไปจนสุดทาง 4 เดือน ที่คาดว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะแล้วเสร็จ และนำไปสู่การลงประชามติ พร้อมกันกับการเลือกตั้งใหญ่
.
ดังนั้นไม่ว่าพรรคน้ำเงิน คุณอนุทิน หรือ ครม. จะทำอะไร ตั้งใจผิดพลาดอย่างไร พรรคส้มมีหน้าที่ ”ดันก้น“ พรรคน้ำเงินไว้จนแก้รัฐธรรมนูญเสร็จ
.
พรรคส้มจะโหวต “ไม่ไว้วางใจ” พรรคน้ำเงินหรือ?
.
เท่ากับว่าที่ดีลกันไว้กลายเป็น “ดีลล้มต้มคนเชียร์“
.
แต่ถ้าโหวต “ไว้วางใจ” ยิ่งพังเข้าไปใหญ่
.
เพราะขนาดแค่โหวตให้อนุทินเป็นนายกฯ พรรคส้มเหมือนถึงวัดรอพระสวด หากโหวตไว้วางใจ คงเข้าเมรุเผาเหลือแต่ขี้เถ้า
.
พรรคส้มเขียน MOA เพื่อล็อกคอพรรคน้ำเงิน ทำไปทำมากลายเป็น “ล็อกคอตัวเอง” ให้ร่วมหัวจมท้ายไปด้วยกันแท้ๆ
.
มันเป็น “ผลประโยชน์ต่างตอบแทน“ ที่ผิดพลาด เพื่อแสวงหาทางขึ้นสู่อำนาจ
.
ไม่ได้มีผลประโยชน์เรื่องปากเรื่องท้องใดๆ ของประชาชนไปเกี่ยวข้องด้วย
.
หากประชาชนเข้าใจเรื่องนี้อย่างถ่องแท้จะมองทะลุเห็นว่า
.
ไปโทษพรรคน้ำเงินไม่ได้เลย เพราะนักการเมืองย่อมต้องการเป็นรัฐบาล เสวยอำนาจ บริหารราชการ
.
ท่าทีของพรรคนี้ก็ไม่ได้ปิดบังซ่อนเร้นอะไร ใครๆ ก็รู้ ไม่ได้คาดหวังอะไรอยู่แล้ว
.
พรรคน้ำเงินเป็นแบบนี้ อุดมการณ์ คือ “เป็นรัฐบาลเท่านั้น”
.
นักการเมืองบ้านใหญ่บ้านเล็ก จึงแห่เข้าบ้านน้ำเงินกันคึกคักหนาแน่น ทำให้พรรคน้ำเงินหุ้นขึ้นทะลุกราฟ ในขณะที่พรรคส้มหุ้นทิ่มหัวดิ่งลง
.
แต่ที่ผมและประชาชนทั่วไปขุ่นเคืองหมองใจพรรคส้ม คือการเสแสร้งแกล้งทำเป็นคนดี พูดดีว่าจะทำหน้าที่ฝ่ายค้านจับจ้องการทำงานของพรรคน้ำเงิน
.
ทั้งที่ความเป็นจริง พรรคส้มกลับต้องดูแลรัฐบาลพรรคน้ำเงินเป็นอย่างดี ไปจนกว่าจะจบภารกิจที่ดีลกันไว้
.
นอกจากไม่ยอมรับกันตรงๆ กับประชาชนแล้ว ยังไปเล่นการเมือง “ซ่อนแอบ”
.
ต่อหน้าบอกว่าจับจ้อง แต่ลับหลังกลับสนับสนุนเจือสมผลประโยชน์ร่วมกัน
.
มิน่าเล่า เห็นลีลาธนาธรออกมาปกป้องเรื่องเขากระโดง กับ ฮั้ว ส.ว. แล้ว อย่างกับซ้อมบทกันมาก่อน
.
ส.ส. เด็กๆ ในพรรคที่ออกอาการอิดออดตอนขานชื่อ อนุทิน เป็นนายกฯ
.
คนอย่าง วิโรจน์ โรม น้องไอซ์ กลายเป็นเสมือน “พนักงานในบริษัท” ที่ต้องทำตามนโยบายของผู้บริหารทุกอย่าง
.
แม้ไม่เห็นด้วย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ จำใจต้องทำตามที่เจ้าของพรรคสั่งเอาไว้
.
ท้ายสุดไม่ว่าพรรคไหน “นายทุนพรรค คือ เจ้าของพรรคตัวจริง”
.
นักการเมืองใหม่ก็เหมือนกับพระบวชใหม่ เคร่งจนรองเท้ายังไม่ใส่
.
พออยู่ไปนานๆ พรรษาการเมืองแก่กล้าขึ้น อุดมการณ์ก็โยนทิ้งลงข้างทาง
.
แต่นี่เปลี่ยนกันเร็วจนแค่ก้มลงเก็บปากกา เงยหน้าขึ้นมาก็ตกลงเปลี่ยนอุดมการณ์กันหมดเสียแล้ว
.
แถมยังตีหน้าซื่อ เล่าความเท็จหลอกประชาชนให้หลงเชื่อ
.
การเมืองใหม่กับการเมืองเก่า ที่แท้ก็เล่นบทเดียวกัน คือ “หน้าไหว้ หลังหลอก”
.
นึกไม่ถึงว่า เด็กรุ่นใหม่สมัยนี้หลอกคนแก่ได้เนียนจริงๆ
ที่มาข่าว
https://www.facebook.com/share/p/1BDaaZy1LY/
ชูวิทย์แฉ พรรคประชาชนนิสัย(หน้าไหว้หลังหลอก)
.
ดีลที่พรรคส้มไปตกลงกับพรรคน้ำเงินเพื่อให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ
.
เรียกว่าเป็น “ดีลกับปีศาจ”
.
พรรคส้มต้องการให้ร่างรัฐธรรมนูญเสร็จตามไทม์ไลน์ระยะเวลา 4 เดือน จึงต้องทำหน้าที่เป็นค้ำยันให้พรรคน้ำเงินอยู่ไปตลอดรอดฝั่ง
.
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น พรรคส้มมีหน้าที่เป็น “ฝ่ายค้านที่สนับสนุนรัฐบาล” จนครบเวลาตามที่ตกลงกันไว้
.
แล้วหวังเอาว่าจะได้รับเสียงสนับสนุนจาก ส.ว. ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะรู้เหมือนที่ทุกคนรู้ว่าใครคุม ส.ว. อยู่
.
แต่ต่อหน้า พรรคส้มต้องร่วมเล่นบท “หนูไม่รู้” กับพรรคน้ำเงิน อภิปรายทำมาดให้สมบทบาทฝ่ายค้าน (จริงๆ)
.
การที่พรรคส้มบอกว่าไม่มีดีลอะไรกับพรรคน้ำเงิน จึงเป็นเพียงการเลี่ยงไม่ให้ประชาชนทั่วไปรับรู้ความจริง
.
อำพรางไว้ด้วยการแสร้งไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคน้ำเงินใน 4 เดือนนี้ ด้วยข้ออ้างว่าจะตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลอย่างเข้มข้น
.
เมื่อฝุ่นจาง คนเริ่มเห็นความจริงว่าพรรคส้มจำเป็นต้องสนับสนุนพรรคน้ำเงินไปจนสุดทาง 4 เดือน ที่คาดว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะแล้วเสร็จ และนำไปสู่การลงประชามติ พร้อมกันกับการเลือกตั้งใหญ่
.
ดังนั้นไม่ว่าพรรคน้ำเงิน คุณอนุทิน หรือ ครม. จะทำอะไร ตั้งใจผิดพลาดอย่างไร พรรคส้มมีหน้าที่ ”ดันก้น“ พรรคน้ำเงินไว้จนแก้รัฐธรรมนูญเสร็จ
.
พรรคส้มจะโหวต “ไม่ไว้วางใจ” พรรคน้ำเงินหรือ?
.
เท่ากับว่าที่ดีลกันไว้กลายเป็น “ดีลล้มต้มคนเชียร์“
.
แต่ถ้าโหวต “ไว้วางใจ” ยิ่งพังเข้าไปใหญ่
.
เพราะขนาดแค่โหวตให้อนุทินเป็นนายกฯ พรรคส้มเหมือนถึงวัดรอพระสวด หากโหวตไว้วางใจ คงเข้าเมรุเผาเหลือแต่ขี้เถ้า
.
พรรคส้มเขียน MOA เพื่อล็อกคอพรรคน้ำเงิน ทำไปทำมากลายเป็น “ล็อกคอตัวเอง” ให้ร่วมหัวจมท้ายไปด้วยกันแท้ๆ
.
มันเป็น “ผลประโยชน์ต่างตอบแทน“ ที่ผิดพลาด เพื่อแสวงหาทางขึ้นสู่อำนาจ
.
ไม่ได้มีผลประโยชน์เรื่องปากเรื่องท้องใดๆ ของประชาชนไปเกี่ยวข้องด้วย
.
หากประชาชนเข้าใจเรื่องนี้อย่างถ่องแท้จะมองทะลุเห็นว่า
.
ไปโทษพรรคน้ำเงินไม่ได้เลย เพราะนักการเมืองย่อมต้องการเป็นรัฐบาล เสวยอำนาจ บริหารราชการ
.
ท่าทีของพรรคนี้ก็ไม่ได้ปิดบังซ่อนเร้นอะไร ใครๆ ก็รู้ ไม่ได้คาดหวังอะไรอยู่แล้ว
.
พรรคน้ำเงินเป็นแบบนี้ อุดมการณ์ คือ “เป็นรัฐบาลเท่านั้น”
.
นักการเมืองบ้านใหญ่บ้านเล็ก จึงแห่เข้าบ้านน้ำเงินกันคึกคักหนาแน่น ทำให้พรรคน้ำเงินหุ้นขึ้นทะลุกราฟ ในขณะที่พรรคส้มหุ้นทิ่มหัวดิ่งลง
.
แต่ที่ผมและประชาชนทั่วไปขุ่นเคืองหมองใจพรรคส้ม คือการเสแสร้งแกล้งทำเป็นคนดี พูดดีว่าจะทำหน้าที่ฝ่ายค้านจับจ้องการทำงานของพรรคน้ำเงิน
.
ทั้งที่ความเป็นจริง พรรคส้มกลับต้องดูแลรัฐบาลพรรคน้ำเงินเป็นอย่างดี ไปจนกว่าจะจบภารกิจที่ดีลกันไว้
.
นอกจากไม่ยอมรับกันตรงๆ กับประชาชนแล้ว ยังไปเล่นการเมือง “ซ่อนแอบ”
.
ต่อหน้าบอกว่าจับจ้อง แต่ลับหลังกลับสนับสนุนเจือสมผลประโยชน์ร่วมกัน
.
มิน่าเล่า เห็นลีลาธนาธรออกมาปกป้องเรื่องเขากระโดง กับ ฮั้ว ส.ว. แล้ว อย่างกับซ้อมบทกันมาก่อน
.
ส.ส. เด็กๆ ในพรรคที่ออกอาการอิดออดตอนขานชื่อ อนุทิน เป็นนายกฯ
.
คนอย่าง วิโรจน์ โรม น้องไอซ์ กลายเป็นเสมือน “พนักงานในบริษัท” ที่ต้องทำตามนโยบายของผู้บริหารทุกอย่าง
.
แม้ไม่เห็นด้วย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ จำใจต้องทำตามที่เจ้าของพรรคสั่งเอาไว้
.
ท้ายสุดไม่ว่าพรรคไหน “นายทุนพรรค คือ เจ้าของพรรคตัวจริง”
.
นักการเมืองใหม่ก็เหมือนกับพระบวชใหม่ เคร่งจนรองเท้ายังไม่ใส่
.
พออยู่ไปนานๆ พรรษาการเมืองแก่กล้าขึ้น อุดมการณ์ก็โยนทิ้งลงข้างทาง
.
แต่นี่เปลี่ยนกันเร็วจนแค่ก้มลงเก็บปากกา เงยหน้าขึ้นมาก็ตกลงเปลี่ยนอุดมการณ์กันหมดเสียแล้ว
.
แถมยังตีหน้าซื่อ เล่าความเท็จหลอกประชาชนให้หลงเชื่อ
.
การเมืองใหม่กับการเมืองเก่า ที่แท้ก็เล่นบทเดียวกัน คือ “หน้าไหว้ หลังหลอก”
.
นึกไม่ถึงว่า เด็กรุ่นใหม่สมัยนี้หลอกคนแก่ได้เนียนจริงๆ
ที่มาข่าว
https://www.facebook.com/share/p/1BDaaZy1LY/