ใช้เงินเก็บแม่ ในวันที่แม่ฉันป่วยติดเตียง

อยากรู้ว่าในมุมของคนอื่นคิดยังไงกันบ้างคะ ขอเกริ่นก่อนว่าความสัมพันธุ์เรากับแม่ในอดีตไม่ได้ดีมากนัก จึงทำให้เราขึ้นมาทำงานในกทม.
และต่อมาน้องเราก็ขึ้นมาเรียนต่อด้วย และแม่เราอยู่ตจว.กับยาย(พ่อเราเสียนานแล้ว)ยายเราก็ป่วยติดเตียงเหมือนกัน เพราะยายอายุมากแล้ว80++
คือก่อนหน้านั้นแม่เราเขาใช้ชีวิตของเขาปกติ หาเงินเองได้ในวัย 48 ปี มีเพื่อนฝูงมีสังคมของเขาเอง เราเลยไม่ค่อยห่วงเท่าไหร่
แต่เราก็กลับไปเยี่ยมแม่ทุกปี ปีละ2ครั้ง (เราทำงานในกทม4ปี) แต่อยู่มาวันนึงแม่เราเกิดเส้นเลือดสมองตีบ ล้มอยู่ในบ้านนานเกิน4ชม
รู้เพราะเพื่อนแม่ไปหาแล้วเจอแม่นอนอยู่ที่พื้น เลยพาส่งรพ. หมอบอกว่าทำอะไรไม่ได้แล้ว เพราะเกิน4ชม.แล้ว ทำได้แค่รักษาตามอาการอย่างเดียว
สรุปคือแม่เราเป็นอัมพฤกซีกขวา ขยับไม่ได้ทั้งซีก และพูดไม่ได้ น้าเราโทรมาบอกเรา เราเลยตัดสินใจลาพักงานไม่รับเงินเดือนเพื่อจะไปดูแลแม่ที่ตจว.
ที่เราตัดสินใจแบบนั้นเพราะเราเข้าใจว่าญาติฝั่งนู้นเขาก็มีครอบครัวของเขาหมด เขาคงไม่อยากมานั่งดูแลคนป่วยหรอก เลยคิดว่ากลับไปหาแม่ก่อนค่อยว่ากัน แต่พอกลับไปแล้วเราเห็นสภาพแม่ตอนนั้นคือเราน้ำตาไหล แม่เราไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้แล้ว เดินไม่ได้พูดไม่ได้ หมอบอกต้องมีคนดูแลช่วงแรก
24ชม. เราก็อยู่กับแม่ไป แต่ด้วยความที่เราก็มนุษย์เงินเดือน เงินเก็บที่เรามีก็ค่อยๆหมดไปทุกวันๆ ไหนจะบ้านหลังที่แม่อยู่ก็เป็นบ้านเช่า เมื่อก่อนแม่เราเป็น
คนส่งเสียน้อง ให้เงินน้องค่าเช่าห้องที่กทม.+ค่ากินเดือนละ8000-9000(ครอบครัวเราไม่ได้ร่ำรวยฐานะกลางๆ) ตอนนี้กลายเป็นเราที่ต้องส่งให้น้อง อีกเรื่องที่ลืมบอก เรามีแฟนและอยู่กับแฟนที่กทม. ก็เช่าห้องเหมือนกัน สรุปแล้วเราต้องจ่ายค่าเช่า3ที่เลย ซึ่งเรามองว่าถ้าพาแม่ไปอยู่ด้วยกันน่าจะช่วยประหยัดได้เยอะ เลยแพลนว่าจะขึ้นกทม.กัน แต่ไปกทม.แม่ต้องรอทำบัตรคนพิการ หมอบอกว่ารอทำที่นี่จะสะดวกและไวกว่าเราเลยรอ แต่ด้วยภาระคชจ.แต่ละวัน ค่ากินค่าอยู่ ไหนจะแม่มีบัตรเครดิตที่ต้องจ่ายรายเดือนทุกเดือน ก็ดูแลกันไป เราก็คอยพาแม่กายภาพตลอด ฝึกให้เขาเขียนหนังสือมือซ้าย วันนึงเขาเขียนไว้ในสมุด เราจับใจความได้ว่าแม่มีเงินสดเก็บไว้ เราก็หาตามที่แม่บอก ก็เจอจริงๆ แม่เรามีเงินเก็บไว้ประมาณ500k++ เราก็ใจชื้นขึ้นมาหน่อย อย่างน้อยก็เอาเงินนี้ไว้ดูแลแม่ดูแลน้องได้ แต่เราก็บอกแม่ว่าเราจำเป็นต้องใช่เงินตรงนี้นะ เราบอกเขาตลอด เขาก็ดูเข้าใจ เขาบอกว่าเงินนี่เขาตั้งใจเก็บไว้ให้เรากับน้องอยู่แล้ว ให้แบ่งกัน เราก็โอเคและคุยกับน้องว่าแม่มีเงินตรงนี้เราจะไว้ใช้จ่ายในครอบครัวนะ น้องเราเพิ่งขึ้นปี2 น้องเราก็เข้าใจ ไม่ได้ว่าอะไร เราก็เอาเงินตรงนี้คอยส่งให้น้องทุกเดือน เหมือนตอนแม่ส่ง แต่ระหว่างที่เราดูแลแม่ ก็มีเรื่องให้ใช้จ่ายทุกวันๆ ไหนจะมีเรื่องคดีความของแม่ที่เราเพิ่งรู้เรื่องรถในอดีตที่แม่ต้องชดใช้เพราะส่งค่างวดไม่ครบ จนเขามายืดรถ เขาเรียกเงินมาตอนนั้นประมาณ5หมื่น เราเลยไปไกล่เกลี่ยจนเขายอมให้จ่าย25000แล้วจบ เราก็โอเค จบไป1เรื่อง แล้วเราก็อยู่กับแม่ ดูแลแม่มาตลอดที่ตจว.จนได้บัตรคนพิการเรียบร้อย ใช้เวลาประมาณ 4-5 เดือน เราก็หาบ้านเช่าในกทม.ได้เดือนละ 8,000 เรามองว่าจะให้น้องมาอยู่กับเราด้วยจะได้ประหยัด วันที่ขึ้นมากทม.คือแฟนเราขับรถมารับเกือบ1000กิโล เพราะแม่เรายังขึ้นเครื่องไม่ได้ ก็มาถึงอย่างปลอดภัย แต่ปรากฎว่าน้องชายเราก็ไม่ได้มาอยู่บ้านเดียวกับเรา เพราะนางมีแฟนเหมือนกัน เราก็ปล่อยๆไป ไม่อยากบังคับ พอเรากลับมากทม.เราก็หางานใหม่(ลืมบอกว่าลาออกจากงานเก่า เพราะที่เก่าเราเข้าเป็นกะ ไม่สามารถดูแลแม่ได้ เลยจำใจออก) ใช้เวลาอยู่พอสมควรกว่าจะได้งานที่ดูแลแม่ไปด้วยได้
เงินเก็บแม่ก็เริ่มค่อยๆลดไปเพราะต้องดูแล4ชีวิต+กับเงินเดือนที่ใหม่เราลดลงไปเยอะมาก(ใช้เวลากว่าจะได้งาน2เดือน) ภาระเราเท่าเดิมเพราะเรามีผ่อนรถยนต์1คัน หนี้อื่นๆยิบย่อย ค่าบัตรเครดิตต่างๆ เค้าเช่าบ้าน คชจที่ต้องให้น้อง เดือนนึงเรามีคชจรวมๆไม่ต่ำกว่า 4-5หมื่น ไหนจะตอนย้ายมาที่ใหม่ก็ต้องจ่ายมัดจำบ้าน 30k ผ่านมาตอนนี้ปีกว่าแล้ว แม่เราก็ดีขึ้นเรื่อยๆ เริ่มเดินได้ด้วยไม้เท้า เริ่มพูดได้นิดหน่อย แล้วแม่ก็เริ่มถามถึงเงิน เพราะเขาบอกว่าเขาอยากกลับไปใช้ชีวิตที่ตจว. เขามีความสุขกว่า เขาขอเงินคืนทุกวัน เราบอกว่ากลับไปไม่มีคนดูแลเขา เขาก็ไม่ยอม ทวงแต่เงินเพราะจะกลับไปอย่างเดียว ที่เราเคยบอกด้วยความที่แม่เราอารมณ์ร้ายอยู่แล้ว พอเขาป่วยเขาก็ร้ายยิ่งกว่าเดิมอีก หมอบอกอารมณ์ของคนที่เป็นโรคนี้จะเป็นแบบนี้ ต้องอดทน เราทนไม่รู้เท่าไหร่ บางทีแกก็ร้องไห้ หงุดหงิดอะไรก็เขวี้ยงของใส่ เดินไม่ได้ คิดคำพูดไม่ออกก็โมโห กินอะไรก็ไม่อร่อย เราต้องใช้ความพยายามอย่างมากกว่าจะผ่านมาได้แต่ละวัน เราไม่อยากพูดต่อหน้าเขาเลยว่าเราเหนื่อยมากๆ เราเหนื่อยจริงๆ เราอยากถามทุกคนว่าเราผิดไหมที่เราเอาเงินเก็บเขามาใช้ในการดูแลแม่และครอบครัว เราอยากรู้ว่าคนอื่นคิดยังไงกันบ้าง เงิน500k มันเยอะสำหรับหลายๆคน มันก็เยอะสำหรับเราเหมือนกัน ทุกคนคิดว่า4ชีวิตกับเงิน500k มันต้องใช้ได้นานแค่ไหนหรอ แล้วการที่แม่มาทวงเงินกับเราตอนนี้เราจะหามาคืนยังไง เราเครียดมากๆ เขาอยากกลับตจว.ทุกวัน ทะเลาะกันเรื่องนี้ทุกวัน อยากรู้ความเห็นคนอื่นๆว่าคิดกันยังไงบ้างคะ (แต่เรื่องนี้คุยกับแม่แล้วว่าจะขอผ่อนให้ทุกเดือน แต่ก็ผ่อนได้ไม่เยอะเขาก็ไม่พอใจ เขาขอเดือนละหมื่น แต่เราไม่ไหว ค่ากินเขาทุกวัน ค่าบ้านค่ารถอื่นๆอีก เวลาเราบอกว่าเราไม่พอ เขาก็จะด่าว่าแล้วเราเอาเงินไปใช้ทำไม เราไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว เราต้องคอยมาฟังเขาเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนเขาฟังตลอด โทรไปเล่าให้คนนั้นคนนี้ฟังว่าลูกสาวเอาเงินเขาไป เราผิดมากมั้ย ที่เราทำแบบนี้)
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
คุณได้ทำบัญชีไว้มั้ยคะ อยากได้คืน ก็คืนเท่าที่เหลืออยู่ให้แม่
ทำรายการให้แม่เห็นว่าคุณใช้จ่ายอะไรไปบ้าง ให้น้องไปเท่าไหร่ ค่ารักษาแม่เท่าไหร่ ให้เค้าดูความเป็นจริง
คือเข้าใจได้ว่าคุณต้องใช้ความอดทนสูงมากในการดูแลคนป่วย ที่เค้าปากร้ายและย้ำคิดย้ำทำ
ตัวคุณเองก็ต้องดูแลตัวเองด้วยนะคะ ทั้งร่างกายและจิตใจ

เพื่อนเราเคยดูแลคุณพ่อ คือนอกจากพ่อป่วยแล้ว เพื่อนเราเป็นซึมเศร้าเพราะดูแลคนป่วยนี่แหละ
ความคิดเห็นที่ 29
คนอื่นคิดยังไงไม่ทราบนะคะ แต่ถ้าเป็นเรา หรือ ครอบครัวเรา ถ้ามีการคุยกันเรื่องเงินแบบนี้ เราจะถือว่าเป็นธุรกิจทันทีค่ะ เราจะเริ่มคิดทุกอย่างเป็นค่าตอบแทนมาตรฐาน แม่กินอยู่เท่าไหร่ คิดเป็นเงินทั้งหมด จะกลับบ้านก็ปล่อยกลับค่ะ กลับเองเลยจะด้วยวิธีอะไรก็ได้ แต่ถ้าให้เราไปส่ง คิดค่าใช้จ่ายตามเรทมาตรฐานที่ต้องจ่ายคนอื่นค่ะ ส่วนเงินที่ต้องคืน คำนวณค่าใช้จ่ายย้อนหลัง รวมค่าแรง ค่าเสียเวลา ค่าเสียโอกาสทั้งหมดค่ะ ขาดเหลือเท่าไหร่ ตกลงกัน ตกลงกันไม่ได้ ก็ให้แม่ฟ้องเอา เงินในบัญชีเรา เราไม่โอนให้ ก็ไม่มีใครเอาไปได้ค่ะ

เราถือคติไม่เอาเปรียบใคร แต่ไม่ให้ใครเอาเปรียบเช่นกัน ถ้าจะทวงบุญคุณ ก็ไล่เรียงคิด ค่าใช้จ่ายมาให้ชัดเจนเลย เจ็บทีเดียวจบ จะด่าจะว่าเนรคุณก็ช่างค่ะ โดนด่าแล้วไม่เสียเงิน เรายอม ส่วนใหญ่พอพูดแบบนี้ เงียบกันหมดค่ะ คนบางคนคิดแต่จะเอาเปรียบคนอื่น ยิ่งคนในครอบครัว ยิ่งไม่เกรงใจ
ความคิดเห็นที่ 3
เจอแม่ที่ไม่ยอมสำนึกหรือคิดถึงสภาพความเป็นจริงของตัวเองเลย  ว่าคงไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตอยู่ ตจว. ได้โดยลำพังอีกต่อไปแล้ว  ต้องมีคนคอยประกบดูแลไปตลอดชีวิตที่เหลือ  แถมยังมาทวงเงินที่ใช้หมดไปกับการเอามาดูแลตัวแม่เองแบบนี้อีกนี่  น่าเหนื่อยใจแทน จขกท. เหมือนกันนะนั่นน่ะ  ไม่รู้จักปล่อยวางบ้างเลย
บางครอบครัวนี่  นอกจากจะต้องภาวนาให้มีลูกดี  เต็มใจที่จะดูแลพ่อแม่ในยามแก่เฒ่าอย่างไม่ขาดตกบกพร่องแล้ว  คงต้องภาวนากลับให้ลูกก็มีพ่อแม่ที่ดี  ไม่พยายามทำตัวให้ลูก ๆ ต้องหนักใจในการดูแลด้วย  เหนื่อยกายไม่ว่า  แต่ถ้าต้องมาเหนื่อยใจด้วยนี่  หนักหนาสาหัสกว่าเยอะนะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่