เงินบาทอ่อนค่า กสิกรไทยคาดสัปดาห์หน้าทิศทางยังอ่อนค่า เคลื่อนไหวในกรอบ 31.80-32.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ จับตาปัจจัยสำคัญในสัปดาห์นี้ ทั้งตัวเลขดุลบัญชีเดินสะพัดเดือนส.ค. ของไทย ประเด็นเกี่ยวเนื่องจากการหารือระหว่าแบงก์ชาติ และผู้ค้าทองคำ สถานการณ์ราคาทองคำในตลาดโลกและฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ รวมถึงยังต้องติดตามการแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภาด้วย
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย สรุปความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทว่า เงินบาทแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบกว่า 2 สัปดาห์ที่ 32.32 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ ฟื้นตัวขึ้น หลังข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าที่คาด
เงินบาทแข็งค่าขึ้นในช่วงต้นสัปดาห์สอดคล้องกับจังหวะการปรับตัวขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของราคาทองคำในตลาดโลก อย่างไรก็ดี เงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่าผ่านแนว 32.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงกลางสัปดาห์ สวนทางเงินดอลลาร์ฯ ที่แข็งค่าขึ้น หลังจากถ้อยแถลงของประธานเฟดสะท้อนท่าทีที่ระมัดระวังต่อการส่งสัญญาณเรื่องการลดดอกเบี้ยในระยะข้างหน้า เพราะแรงกดดันเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูง
เงินบาทอ่อนค่าลงต่อจนถึงช่วงท้ายสัปดาห์ โดยมีปัจจัยกดดันจากตัวเลขการส่งออกของไทยที่เริ่มชะลอลงและข่าวการปรับมุมมองต่ออันดับความน่าเชื่อถือของไทยเป็น Negative โดย Fitch ขณะที่ ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาด หนุนเงินดอลลาร์ฯ ให้แข็งค่าขึ้นพร้อมๆ กับการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ นอกจากนี้ ตลาดยังรอติดตามสัญญาณของทางการในการดูแลความผันผวนของเงินบาทที่อาจมีความเชื่อมโยงกับธุรกรรมทองคำด้วยเช่นกัน
ในวันศุกร์ที่ 26 ก.ย. 2568 เงินบาทปิดตลาดในประเทศที่ 32.24 บาทต่อดอลลาร์ฯ (หลังแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบกว่า 2 สัปดาห์ นับตั้งแต่ 8 ก.ย. ที่ระดับ 32.32 บาทต่อดอลลาร์ฯ) เทียบกับระดับ 31.85 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (19 ก.ย.)
สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 22-26 ก.ย. 2568 นั้น นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 1,350 ล้านบาท และมีสถานะอยู่ในฝั่ง Net Outflows ออกจากตลาดพันธบัตรไทย 10,393 ล้านบาท (ขายสุทธิพันธบัตร 10,391 ล้านบาท และตราสารหนี้หมดอายุ 2 ล้านบาท)
ส่วนสัปดาห์นี้หรือ
สัปดาห์ระหว่างวันที่ 29 ก.ย.-3 ต.ค. 2568 ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทที่ระดับ 31.80-32.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ
ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขดุลบัญชีเดินสะพัดเดือนส.ค. ของไทย ประเด็นเกี่ยวเนื่องจากการหารือระหว่างธปท. และผู้ค้าทองคำ สถานการณ์ราคาทองคำในตลาดโลกและฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ
ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย ตัวเลขการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนส.ค. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ดัชนี PMI/ISM ภาคการผลิตและภาคบริการ ข้อมูลการจ้างงานภาคเอกชน ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรและอัตราการว่างงานเดือนก.ย. รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์
นอกจากนี้ ตลาดยังรอติดตามถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟดและดัชนี PMI เดือนก.ย. ของจีน ญี่ปุ่น ยูโรโซนและอังกฤษเช่นกัน
สำหรับความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทย ดัชนีหุ้นไทยเคลื่อนไหวผันผวน ก่อนจะย่อตัวลงช่วงท้ายสัปดาห์ SET Index ร่วงลงช่วงต้นสัปดาห์หลังตอบรับประเด็นความชัดเจนทางการเมืองในประเทศและการปรับลดดอกเบี้ยของเฟดไปพอสมควร ประกอบกับไร้ปัจจัยใหม่ ๆ เข้ามากระตุ้นตลาด ส่งผลให้นักลงทุนขายทำกำไรหุ้นรายตัว นำโดยกลุ่มพลังงานที่มีแรงกดดันเพิ่มเติมจากการปรับตัวลงของราคาน้ำมันในตลาดโลกท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับอุปทานส่วนเกิน
อย่างไรก็ดี SET Index ดีดตัวขึ้นช่วงกลางสัปดาห์ หลังมีรายงานข่าวเกี่ยวกับการจัดประชุมครม. นัดพิเศษของรัฐบาลชุดใหม่ซึ่งกระตุ้นความคาดหวังเกี่ยวกับการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งผลให้มีแรงซื้อคืนหุ้นหลายกลุ่ม นำโดย ค้าปลีก แบงก์และไฟแนนซ์
SET Index พลิกกลับมาย่อตัวลงอีกครั้งช่วงท้ายสัปดาห์ สอดคล้องกับทิศทางตลาดหุ้นในภูมิภาค หลังมีรายงานข่าวว่าสหรัฐฯ ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเพิ่มเติม ครอบคลุมยา รถบรรทุกและเฟอร์นิเจอร์ โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 ต.ค. เป็นต้นไป นอกจากนี้ ตลาดหุ้นไทยยังมีแรงกดดันเพิ่มเติมจากการที่ Fitch ปรับลดมุมมองความน่าเชื่อถือของไทยเป็น “เชิงลบ”
ในวันศุกร์ที่ 26 ก.ย. 2568 ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,278.74 จุด ลดลง 1.08% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 36,380.31 ล้านบาท ลดลง 18.70% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai ลดลง 1.86% มาปิดที่ระดับ 250.72 จุด
สัปดาห์ (29 ก.ย.-3 ต.ค. 68) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,270 และ 1,245 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,300 และ 1,315 จุด ตามลำดับ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ การแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด รวมถึงทิศทางเงินทุนต่างชาติ
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนี PMI/ISM ภาคการผลิตและการบริการ ข้อมูลการจ้างงานภาคเอกชนของ ADP ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร และอัตราการว่างงานเดือนก.ย. รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์
ขณะที่ปัจจัยเศรษฐกิจต่างประเทศอื่น ๆ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนก.ย. และดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนส.ค. ของยูโรโซน ดัชนี PMI ภาคการผลิตและการบริการเดือนก.ย. ของยูโรโซน ญี่ปุ่น และจีน ตลอดจนยอดค้าปลีกและผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนส.ค. ของญี่ปุ่น
ธปท.นัดถกผู้ค้าทองคำ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา นางสาวชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายองค์กรสัมพันธ์ และโฆษกธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ธปท.ยังไม่เห็นสัญญาณการเก็งกำไรในค่าเงินบาทที่ผิดปกติ โดยสาเหตุที่ค่าเงินบาทแข็งค่ามากกว่าสกุลเงินในภูมิภาค มีปัจจัยหลักประมาณ 80-90% มาจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งนี้ ทาง ปธท.ได้มีการเข้าไปดูแลค่าเงินบาทอย่างต่อเนื่องไม่ให้ผันผวนเร็วและแรงจนเกินไป เพื่อให้ผู้ประกอบการในประเทศสามารถปรับตัวได้ ในขณะเดียวกัน ธปท.พยายามหารือกับผู้เกี่ยวข้อง เช่น ผู้ค้าทองคำ และผู้เกี่ยวข้องอื่น ๆ ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับค่าเงินสูงขึ้นเฉลี่ย 0.7% และสูงกว่าในช่วงที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ค่าเงินบาทยังได้รับอานิสงส์ให้แข็งค่าจากดุลบัญชีเดินสะพัดที่เกินดุลมากกว่าที่คาด ส่วนประเด็นความคืบหน้าในการหารือระหว่าง ธปท.กับสมาคมค้าทองคำ เพื่อหาแนวทางลดผลกระทบจากการซื้อขายทองคำต่อค่าเงินบาท นางสาวชญาวดีกล่าวว่า จะมีการหารือร่วมกันอีกครั้งประมาณต้นสัปดาห์หน้า เพื่อร่วมกันพิจารณาออกแบบมาตรการหรือแนวทางที่จะทำให้การค้าทองคำ ส่งผลข้างเคียงต่อค่าเงินบาทให้น้อยที่สุด โดยเป็นการแก้ปัญหาได้จริงและตรงจุด
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ :
https://www.prachachat.net/finance/news-1892255
เงินบาทอ่อนค่า จับตาสัปดาห์นี้ 4 ปัจจัยสำคัญ หุ้น ทองคำโลก ฟันด์โฟลว์ต่างชาติ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย สรุปความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทว่า เงินบาทแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบกว่า 2 สัปดาห์ที่ 32.32 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ ฟื้นตัวขึ้น หลังข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าที่คาด
เงินบาทแข็งค่าขึ้นในช่วงต้นสัปดาห์สอดคล้องกับจังหวะการปรับตัวขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของราคาทองคำในตลาดโลก อย่างไรก็ดี เงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่าผ่านแนว 32.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงกลางสัปดาห์ สวนทางเงินดอลลาร์ฯ ที่แข็งค่าขึ้น หลังจากถ้อยแถลงของประธานเฟดสะท้อนท่าทีที่ระมัดระวังต่อการส่งสัญญาณเรื่องการลดดอกเบี้ยในระยะข้างหน้า เพราะแรงกดดันเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูง
เงินบาทอ่อนค่าลงต่อจนถึงช่วงท้ายสัปดาห์ โดยมีปัจจัยกดดันจากตัวเลขการส่งออกของไทยที่เริ่มชะลอลงและข่าวการปรับมุมมองต่ออันดับความน่าเชื่อถือของไทยเป็น Negative โดย Fitch ขณะที่ ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาด หนุนเงินดอลลาร์ฯ ให้แข็งค่าขึ้นพร้อมๆ กับการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ นอกจากนี้ ตลาดยังรอติดตามสัญญาณของทางการในการดูแลความผันผวนของเงินบาทที่อาจมีความเชื่อมโยงกับธุรกรรมทองคำด้วยเช่นกัน
ในวันศุกร์ที่ 26 ก.ย. 2568 เงินบาทปิดตลาดในประเทศที่ 32.24 บาทต่อดอลลาร์ฯ (หลังแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบกว่า 2 สัปดาห์ นับตั้งแต่ 8 ก.ย. ที่ระดับ 32.32 บาทต่อดอลลาร์ฯ) เทียบกับระดับ 31.85 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (19 ก.ย.)
สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 22-26 ก.ย. 2568 นั้น นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 1,350 ล้านบาท และมีสถานะอยู่ในฝั่ง Net Outflows ออกจากตลาดพันธบัตรไทย 10,393 ล้านบาท (ขายสุทธิพันธบัตร 10,391 ล้านบาท และตราสารหนี้หมดอายุ 2 ล้านบาท)
ส่วนสัปดาห์นี้หรือสัปดาห์ระหว่างวันที่ 29 ก.ย.-3 ต.ค. 2568 ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทที่ระดับ 31.80-32.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ
ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขดุลบัญชีเดินสะพัดเดือนส.ค. ของไทย ประเด็นเกี่ยวเนื่องจากการหารือระหว่างธปท. และผู้ค้าทองคำ สถานการณ์ราคาทองคำในตลาดโลกและฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ
ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย ตัวเลขการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนส.ค. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ดัชนี PMI/ISM ภาคการผลิตและภาคบริการ ข้อมูลการจ้างงานภาคเอกชน ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรและอัตราการว่างงานเดือนก.ย. รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์
นอกจากนี้ ตลาดยังรอติดตามถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟดและดัชนี PMI เดือนก.ย. ของจีน ญี่ปุ่น ยูโรโซนและอังกฤษเช่นกัน
สำหรับความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทย ดัชนีหุ้นไทยเคลื่อนไหวผันผวน ก่อนจะย่อตัวลงช่วงท้ายสัปดาห์ SET Index ร่วงลงช่วงต้นสัปดาห์หลังตอบรับประเด็นความชัดเจนทางการเมืองในประเทศและการปรับลดดอกเบี้ยของเฟดไปพอสมควร ประกอบกับไร้ปัจจัยใหม่ ๆ เข้ามากระตุ้นตลาด ส่งผลให้นักลงทุนขายทำกำไรหุ้นรายตัว นำโดยกลุ่มพลังงานที่มีแรงกดดันเพิ่มเติมจากการปรับตัวลงของราคาน้ำมันในตลาดโลกท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับอุปทานส่วนเกิน
อย่างไรก็ดี SET Index ดีดตัวขึ้นช่วงกลางสัปดาห์ หลังมีรายงานข่าวเกี่ยวกับการจัดประชุมครม. นัดพิเศษของรัฐบาลชุดใหม่ซึ่งกระตุ้นความคาดหวังเกี่ยวกับการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งผลให้มีแรงซื้อคืนหุ้นหลายกลุ่ม นำโดย ค้าปลีก แบงก์และไฟแนนซ์
SET Index พลิกกลับมาย่อตัวลงอีกครั้งช่วงท้ายสัปดาห์ สอดคล้องกับทิศทางตลาดหุ้นในภูมิภาค หลังมีรายงานข่าวว่าสหรัฐฯ ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเพิ่มเติม ครอบคลุมยา รถบรรทุกและเฟอร์นิเจอร์ โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 ต.ค. เป็นต้นไป นอกจากนี้ ตลาดหุ้นไทยยังมีแรงกดดันเพิ่มเติมจากการที่ Fitch ปรับลดมุมมองความน่าเชื่อถือของไทยเป็น “เชิงลบ”
ในวันศุกร์ที่ 26 ก.ย. 2568 ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,278.74 จุด ลดลง 1.08% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 36,380.31 ล้านบาท ลดลง 18.70% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai ลดลง 1.86% มาปิดที่ระดับ 250.72 จุด
สัปดาห์ (29 ก.ย.-3 ต.ค. 68) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,270 และ 1,245 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,300 และ 1,315 จุด ตามลำดับ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ การแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด รวมถึงทิศทางเงินทุนต่างชาติ
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนี PMI/ISM ภาคการผลิตและการบริการ ข้อมูลการจ้างงานภาคเอกชนของ ADP ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร และอัตราการว่างงานเดือนก.ย. รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์
ขณะที่ปัจจัยเศรษฐกิจต่างประเทศอื่น ๆ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนก.ย. และดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนส.ค. ของยูโรโซน ดัชนี PMI ภาคการผลิตและการบริการเดือนก.ย. ของยูโรโซน ญี่ปุ่น และจีน ตลอดจนยอดค้าปลีกและผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนส.ค. ของญี่ปุ่น
ธปท.นัดถกผู้ค้าทองคำ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา นางสาวชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายองค์กรสัมพันธ์ และโฆษกธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ธปท.ยังไม่เห็นสัญญาณการเก็งกำไรในค่าเงินบาทที่ผิดปกติ โดยสาเหตุที่ค่าเงินบาทแข็งค่ามากกว่าสกุลเงินในภูมิภาค มีปัจจัยหลักประมาณ 80-90% มาจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งนี้ ทาง ปธท.ได้มีการเข้าไปดูแลค่าเงินบาทอย่างต่อเนื่องไม่ให้ผันผวนเร็วและแรงจนเกินไป เพื่อให้ผู้ประกอบการในประเทศสามารถปรับตัวได้ ในขณะเดียวกัน ธปท.พยายามหารือกับผู้เกี่ยวข้อง เช่น ผู้ค้าทองคำ และผู้เกี่ยวข้องอื่น ๆ ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับค่าเงินสูงขึ้นเฉลี่ย 0.7% และสูงกว่าในช่วงที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ค่าเงินบาทยังได้รับอานิสงส์ให้แข็งค่าจากดุลบัญชีเดินสะพัดที่เกินดุลมากกว่าที่คาด ส่วนประเด็นความคืบหน้าในการหารือระหว่าง ธปท.กับสมาคมค้าทองคำ เพื่อหาแนวทางลดผลกระทบจากการซื้อขายทองคำต่อค่าเงินบาท นางสาวชญาวดีกล่าวว่า จะมีการหารือร่วมกันอีกครั้งประมาณต้นสัปดาห์หน้า เพื่อร่วมกันพิจารณาออกแบบมาตรการหรือแนวทางที่จะทำให้การค้าทองคำ ส่งผลข้างเคียงต่อค่าเงินบาทให้น้อยที่สุด โดยเป็นการแก้ปัญหาได้จริงและตรงจุด
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.prachachat.net/finance/news-1892255