หนังเรื่องนี้มีความยาวกว่า 170 นาที กำกับโดย Paul Thomas Anderson ผกก. ที่ยังไม่เคยได้รับรางวัลออสการ์ แต่เกือบจะได้มาแล้วหลายครั้ง หนังเต็มไปด้วยศาสตร์ทางงานภาพยนต์ระดับสูงมากมายหลายด้าน จนหลาย ๆ คนกล่าวว่า หนังเรื่องนี้อาจจะนำพาออสการ์มาสู่ Anderson เป็นครั้งแรกก็ได้
ความรู้สึกหลังดูก็คือ หนังไม่ได้ดูยากเท่าที่คิดเอาไว้ก่อนดูครับ คือ พอเราพูดถึงหนังที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการปฎิวัติสังคม เพศ เชื้อชาติ การต่อสู้กันระหว่างฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวาที่มีความสุดโต่งด้วยกันทั้งคู่ อันนำมาสู่ความรุนแรง และเนื้อหาทั้งหมดกล่าวถึงบริบทในสังคมอเมริกา ส่วนตัวว่ามันจะต้องเครียดและดูยากมากแน่ ๆ หรืออาจจะน่าเบื่อไปเลย แต่หนังไม่ได้ทำให้รู้สึกแบบนั้นครับ
ส่วนตัวยกความดีความชอบให้กับการแสดงที่สุดยอดของ Leo, Sean และ Del Toro รวมทั้ง Chase และ Teyana ด้วย โดยเฉพาะ Leo ที่แสดงออกมาได้น่ารักดี ในฐานะของพ่อที่ต้องปกป้องลูก คือ บทมันน่าจะเครียดแบบสุด ๆ แต่ฮีแสดงออกมาแล้วขำ แต่ความขำมันไม่ได้ลดระดับความรักและความจริงจังที่จะต้องปกป้องลูกเลย (บทเครียดแต่ขำของ Leo ก่อนหน้านี้ผมชอบจาก KOTFM มากเช่นกัน) ส่วนตัวลูกอย่าง Chase ส่วนตัวคิดว่าบทเธอไม่ได้เยอะมาก แต่การแสดงออกทางสีหน้าแววตาที่แสดงออกถึงความมี DNA กบฎในตัวนี่มันสุดยอดมาก
แต่คนที่ผมชอบที่สุดคือ Sean Penn ในบทของนายทหารฝ่ายขวาจัดที่กลับมีรสนิยมส่วนตัวที่ขัดกับแนวคิดของตัว ที่ต่อมาจะนำความชิอ่ายมาสู่ตัวเอง อันนี้เป็นอะไรที่สุดยอดมาก เป็นการแสดงระดับสูงจริง ๆ ชอบมากครับ ตลกหน้าตายดีด้วย
อีกอย่างที่ชอบ คือ ดนตรีประกอบและมุมกล้อง ส่วนตัวว่าที่หนังมันไม่ได้ดูเครียดหรือหนักจนเกินไป นอกจากบทที่แซมการจิกกัดและตลกแบบหน้าตายเอาไว้ ส่วนหนึ่งก็คือดนตรีประกอบนี่แหละครับ คือมันมีทั้งความเร่งเร้า ความกวน ความเหยียด ความเกลียด ความอะไรต่ออะไรไว้หลากหลายมาก และส่งอารมณ์ความรู้สึกมาสู่คนดูได้
ส่วนมุมกล้องเป็นอะไรที่เด็ดมาก โดยเฉพาะฉากขับรถไล่กันผ่านถนนที่เป็นเนินช่วงท้าย คือ มุมกล้องนี้มันสุด ๆ จริง ๆ ครับ เรียกว่ามุมกล้องแบบเทพเลย ต้องไปดูด้วยตาตัวเองเลยครับ.. บอกเป็นคำพูดไม่ได้จริง ๆ
สรุป คือเป็นหนังที่น่าดูเรื่องหนึ่งของปี คนที่รักการดูหนังต้องไม่พลาด แต่จะดีจนได้ออสการ์มั้ย ผมก็ไม่แน่ใจครับ แต่เนื้อหาอาจจะถูกใจคนอเมริกันที่กำลังถูกปกครองโดยรัฐบาลขวาจัดแบบทรัมป์ก็เป็นได้
ใครได้ไปดูมาแล้วบ้าง คิดเห็นอย่างไรมาแชร์กันได้นะครับ
One Battle After Another หนึ่งศึกครั้งแล้วครั้งเล่า.. ใครไปดูมาแล้วบ้าง ชอบ ไม่ชอบ อย่างไรกันบ้างครับ
หนังเรื่องนี้มีความยาวกว่า 170 นาที กำกับโดย Paul Thomas Anderson ผกก. ที่ยังไม่เคยได้รับรางวัลออสการ์ แต่เกือบจะได้มาแล้วหลายครั้ง หนังเต็มไปด้วยศาสตร์ทางงานภาพยนต์ระดับสูงมากมายหลายด้าน จนหลาย ๆ คนกล่าวว่า หนังเรื่องนี้อาจจะนำพาออสการ์มาสู่ Anderson เป็นครั้งแรกก็ได้
ความรู้สึกหลังดูก็คือ หนังไม่ได้ดูยากเท่าที่คิดเอาไว้ก่อนดูครับ คือ พอเราพูดถึงหนังที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการปฎิวัติสังคม เพศ เชื้อชาติ การต่อสู้กันระหว่างฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวาที่มีความสุดโต่งด้วยกันทั้งคู่ อันนำมาสู่ความรุนแรง และเนื้อหาทั้งหมดกล่าวถึงบริบทในสังคมอเมริกา ส่วนตัวว่ามันจะต้องเครียดและดูยากมากแน่ ๆ หรืออาจจะน่าเบื่อไปเลย แต่หนังไม่ได้ทำให้รู้สึกแบบนั้นครับ
ส่วนตัวยกความดีความชอบให้กับการแสดงที่สุดยอดของ Leo, Sean และ Del Toro รวมทั้ง Chase และ Teyana ด้วย โดยเฉพาะ Leo ที่แสดงออกมาได้น่ารักดี ในฐานะของพ่อที่ต้องปกป้องลูก คือ บทมันน่าจะเครียดแบบสุด ๆ แต่ฮีแสดงออกมาแล้วขำ แต่ความขำมันไม่ได้ลดระดับความรักและความจริงจังที่จะต้องปกป้องลูกเลย (บทเครียดแต่ขำของ Leo ก่อนหน้านี้ผมชอบจาก KOTFM มากเช่นกัน) ส่วนตัวลูกอย่าง Chase ส่วนตัวคิดว่าบทเธอไม่ได้เยอะมาก แต่การแสดงออกทางสีหน้าแววตาที่แสดงออกถึงความมี DNA กบฎในตัวนี่มันสุดยอดมาก
แต่คนที่ผมชอบที่สุดคือ Sean Penn ในบทของนายทหารฝ่ายขวาจัดที่กลับมีรสนิยมส่วนตัวที่ขัดกับแนวคิดของตัว ที่ต่อมาจะนำความชิอ่ายมาสู่ตัวเอง อันนี้เป็นอะไรที่สุดยอดมาก เป็นการแสดงระดับสูงจริง ๆ ชอบมากครับ ตลกหน้าตายดีด้วย
อีกอย่างที่ชอบ คือ ดนตรีประกอบและมุมกล้อง ส่วนตัวว่าที่หนังมันไม่ได้ดูเครียดหรือหนักจนเกินไป นอกจากบทที่แซมการจิกกัดและตลกแบบหน้าตายเอาไว้ ส่วนหนึ่งก็คือดนตรีประกอบนี่แหละครับ คือมันมีทั้งความเร่งเร้า ความกวน ความเหยียด ความเกลียด ความอะไรต่ออะไรไว้หลากหลายมาก และส่งอารมณ์ความรู้สึกมาสู่คนดูได้
ส่วนมุมกล้องเป็นอะไรที่เด็ดมาก โดยเฉพาะฉากขับรถไล่กันผ่านถนนที่เป็นเนินช่วงท้าย คือ มุมกล้องนี้มันสุด ๆ จริง ๆ ครับ เรียกว่ามุมกล้องแบบเทพเลย ต้องไปดูด้วยตาตัวเองเลยครับ.. บอกเป็นคำพูดไม่ได้จริง ๆ
สรุป คือเป็นหนังที่น่าดูเรื่องหนึ่งของปี คนที่รักการดูหนังต้องไม่พลาด แต่จะดีจนได้ออสการ์มั้ย ผมก็ไม่แน่ใจครับ แต่เนื้อหาอาจจะถูกใจคนอเมริกันที่กำลังถูกปกครองโดยรัฐบาลขวาจัดแบบทรัมป์ก็เป็นได้
ใครได้ไปดูมาแล้วบ้าง คิดเห็นอย่างไรมาแชร์กันได้นะครับ