ต้นตอเงินบาทแข็ง! "เงินทุนปริศนา" ทะลักเข้าไทยผิดปกติ โยง "ธุรกิจสีเทา"

ต้นตอเงินบาทแข็ง! "เงินทุนปริศนา" ทะลักเข้าไทยผิดปกติ โยง "ธุรกิจสีเทา"
ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา เงินบาทไทยแข็งค่าขึ้นไปแล้วกว่า 7% ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในรอบ 4 ปี และแซงหน้าสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาคไปอย่างเห็นได้ชัด
.
[ เงินดอลลาร์อ่อนค่า ]
หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ส่งสัญญาณและเริ่มลดดอกเบี้ย ทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลง ซึ่งส่งผลให้เงินบาทและสกุลเงินอื่น ๆ ทั่วโลกแข็งค่าขึ้นตามไปด้วย
.
[ ราคาทองคำพุ่ง ]
ราคาทองคำที่พุ่งสูงขึ้นถึง 40% กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ถูกเพ่งเล็งว่ามีส่วนทำให้เงินบาทแข็งค่าอย่างรวดเร็ว เพราะการซื้อขายทองคำในบ้านเรามักจะใช้เงินบาท
.
ดูเหมือนว่าสาเหตุที่แท้จริงอาจจะซับซ้อนกว่านั้น เพราะถึงแม้จะมีการพยายามแก้ปัญหาโดยการควบคุมการซื้อขายทองคำออนไลน์ หรือจะมีการจัดเก็บภาษีและปรับรูปแบบการซื้อขายมาใช้สกุลเงินดอลลาร์แทน แต่เงินบาทก็ยังคงแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนั่นอาจชี้ให้เห็นว่าการพุ่งเป้าไปที่ทองคำอาจจะ "แก้ปัญหาไม่ตรงจุด" และอาจจะกระทบกับผู้ประกอบการและนักลงทุนที่สุจริตด้วย
.
[ ปริศนา "เงินทุนสีเทา" คือตัวการที่แท้จริง? ]
ข้อมูลจากตัวเลข "ดุลการชำระเงิน" ของไทยชี้ให้เห็นถึงสิ่งที่น่ากังวลอย่างยิ่ง นั่นก็คือตัวเลข "เงินทุนไหลเข้าปริศนา" หรือที่เรียกว่า "Net Errors and Omissions" ซึ่งพุ่งสูงขึ้นอย่างผิดปกติในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
.
ตัวเลขนี้เปรียบเสมือนรายการที่มาของเงินทุนที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ไม่สามารถระบุที่มาได้ชัดเจน ซึ่งนักวิเคราะห์เชื่อว่าเงินก้อนมหาศาลนี้อาจมาจาก "ธุรกิจสีเทา" ที่ทะลักเข้ามาในประเทศไทยโดยไม่ผ่านระบบปกติ
.
เงินทุนลึกลับเหล่านี้เองคือตัวการสำคัญที่ทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างผิดปกติ
.
ถ้าเปรียบเทียบง่ายๆ ก็เหมือนกับมีน้ำจำนวนมหาศาลไหลเข้ามาในแม่น้ำโดยที่เราไม่รู้แหล่งที่มา ซึ่งทำให้น้ำในแม่น้ำเอ่อล้นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว การพยายามแก้ปัญหาด้วยการไปปิดกั้นแหล่งน้ำเล็ก ๆ อย่าง "การซื้อขายทองคำ" จึงอาจไม่ใช่ทางออกที่ยั่งยืน เพราะต้นตอของปัญหาจริง ๆ คือ "เงินทุนสีเทา" ที่กำลังไหลเข้าประเทศอย่างไม่หยุดยั้ง
.
จากตัวเลขดุลการชำระเงินของ ธปท. พบว่า ค่าความคลาดเคลื่อนสุทธิ (Net Errors and Omissions หรือ NEO) ในดุลการชำระเงินของไทย เพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติ โดยตัวเลขในปี 2564 อยู่ที่ 340,290.37 ล้านบาท ก่อนจะลดลงเป็นลบในปี 2565 ที่ -2,528.18 ล้านบาท
.
แต่ในปี 2566 ตัวเลขกลับพุ่งสูงขึ้นมาอีกครั้งที่ 180,404.36 ล้านบาท และในปี 2567 พุ่งสูงขึ้นอย่างน่าตกใจถึง 530,855.49 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่า เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ขณะที่ในไตรมาส 1/2568 ค่า NEO อยู่ที่ 80,909.45 ล้านบาท
.
ล่าสุด วันนี้ (23 ก.ย.2568) ธปท. ได้มีการเปิดเผยการปรับปรุงข้อมูลในบัญชีดุลการชำระเงินปี 2567 ธปท. ได้ปรับปรุงข้อมูลในบัญชีดุลการชำระเงิน (Balance of Payments: BOP) ประจำปี 2567 ตามรอบปรับปรุงปกติในเดือน ก.ย.2568
.
ส่งผลให้ตัวเลขที่แสดงความคลาดเคลื่อนเชิงสถิติ (Net Errors and Omissions: NEO) ปี 2567 อยู่ที่ 7.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (2.3 แสนล้านบาท) ซึ่งเป็นการปรับลดลงกว่าครึ่งหนึ่งจากตัวเลขเบื้องต้นที่ประกาศในเดือน มี.ค.2568 อยู่ที่ 15.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (5.3 แสนล้านบาท)
.
ที่มา : SpringNews
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่