ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีชาวไทยจำนวน 10 คน ถูกนายหน้าค้ามนุษย์หลอกลวงไปทำงานในประเทศกัมพูชา โดยอ้างว่ามีรายได้สูง เมื่อเดินทางไปถึงเมืองอังกอร์ บอเรย กลับถูกนำตัวไปส่งต่อให้กับบริษัทจีนที่ดำเนินกิจการแก๊งคอลเซ็นเตอร์
เบื้องต้น ผู้เสียหายทั้งหมดถูกยึดโทรศัพท์มือถือ ห้ามออกจากสถานที่พัก และถูกบังคับให้อ้างกับครอบครัวว่าปลอดภัย เพื่อไม่ให้มีการแจ้งตำรวจช่วยเหลือ ขณะเดียวกันยังถูกแฮ็กข้อมูลส่วนตัวและบังคับให้เปิดเผยรหัสผ่านต่าง ๆ ทราบว่าหนึ่งในผู้เสียหายเป็นชายชาวจังหวัดตราดด้วย
มีรายงานว่า บริษัทดังกล่าวมีพนักงานมากกว่า 300-400 คน ส่วนใหญ่เป็นคนไทยที่ถูกหลอกมาทำงาน หากใครไม่สามารถทำยอดได้ตามเป้าอาจถูกทำร้ายร่างกายหรือถูกขายต่อไปที่อื่น
ครอบครัวผู้เสียหายเผยว่า ขณะนี้คนจีนที่ควบคุมตัวเรียกค่าไถ่คนละ 200,000 บาท โดยให้เวลาภายใน 1 วัน มิฉะนั้นผู้ถูกกักขังอาจถูกทำร้ายร่างกายหรือโยกย้ายไปยังสถานที่อื่น
ญาติพี่น้องผู้เสียหายต่างวอนขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในไทยและกัมพูชา แม้สถานการณ์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจะซับซ้อนและทำให้การช่วยเหลือติดขัด แต่ครอบครัวยังมีความหวังว่าจะสามารถช่วยเหลือทั้ง 10 คนกลับมาได้อย่างปลอดภัย
นายสายชล อายุ 49 ปี และ นางสาววรานิษฐ์ อายุ 43 ปี ชาวจังหวัดตราด พ่อแม่ของหนึ่งในเหยื่อที่ถูกจับตัวเรียกค่าไถ่ เปิดเผยกับทีมข่าวว่า..
มีคนแนะนำให้ไปทำงานที่กัมพูชา บอกว่าฐานเงินเดือนสูง จนวันที่ 8 กันยายน ลูกชายเดินทางไปกับแฟนสาวและญาติ ๆ แฟน โดยนั่งเครื่องบินไปลงที่กรุงพนมเปญ และมีรถตู้มารับไปที่เมืองอังกอร์ บอเรย หลังจากพักผ่อน 2 วัน จนวันที่ 10 กันยายน 2568 มีรถมารับเข้าบริษัท
ลูกชายได้โทรศัพท์กลับมา ลูกชายบอกว่าโดนหลอกให้เป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งก่อนหน้านี้ลูกชายและแฟนสาวได้ทำงานอยู่ในบ่อนที่จังหวัดไพลิน ก่อนจะถูกชักชวนมาที่นี่
วันที่ 12 กันยายน ลูกชายได้พิมพ์มาหาพ่อ ว่าสบายดี ไม่ต้องแจ้งความ แต่ตนและสามีไม่สบายใจ จนไปเจอว่ามีเพื่อนลูกชายติดต่อมาตามหาญาติ ชวนเข้าไลน์กลุ่มผู้เสียหาย และให้เข้าแจ้งความ ตนจึงรีบไปแจ้งความที่ สภ.ทุ่งเบญจา จ.จันทบุรี เหยื่อทั้งหมดรวมแล้ว 10 คน ลูกชายตน แฟนสาว และญาติ ๆ แฟนลูกชาย และคนอื่น ๆ อีก
ครั้งแรกเป็นเพื่อนคนไทยชักชวนไป บอกว่าที่ทำงานใหม่ให้เงินเดือนสูง 3,000 ดอลลาร์ (กว่าแสนบาท) ทั้งคู่จึงตัดสินใจชวนกันไปดังกล่าว จนไปหน้างานไม่มีอะไรเลย แถมโดนขังอยู่ในห้องไม่ให้ไปไหน
หลังจากตนเข้าไลน์กลุ่มช่วยเหลือคนไทยในกัมพูชา มีคนดำเนินเรื่องอ้างว่าคุยได้ทั้งฝั่งกัมพูชาและฝั่งไทย ชื่อนุ้ย ขอให้โอนเงินค่าดำเนินการคนละ 5,000 บาท
แต่หลังจากทุกคนโอนเงินครบให้ทั้งหมด นางสาวนุ้ยอ้างอีกว่า มีคนแจ้งความแล้วทางฝั่งกัมพูชาจับได้ หลังจากนี้จะให้เอาเงินไปไถ่ตัว คนละ 200,000 บาท จนวันนี้ตนมาแจ้งผู้สื่อข่าว
ที่ผ่านมากว่า 2 สัปดาห์ตนร้อนรนใจมากไปติดต่อหน่วยงานภาครัฐหลายแห่งแล้ว ซึ่งแต่ละที่ก็โยนเรื่องไปมา จนสุดท้ายบอกให้ตนได้ติดต่อไปที่สถานทูตไทยในกัมพูชา บอกว่าจะดำเนินเรื่องให้
ตนอยากฝากเตือนคนไทยที่จะไปทำงานที่กัมพูชา ตนคิดว่าไม่มีหรอกเงินเดือนสูง ๆ เกือบแสนบาท เพราะหากมีจริงทำไมคนกัมพูชาไม่ทำเอง ทำไมยังแอบเข้ามาทำงานในประเทศไทยอยู่เลย
ที่มา : เรื่องเล่าเช้านี้
ครอบครัววอนช่วย ลูกถูกนายหน้าค้ามนุษย์หลอกไปทำงานที่ กัมพูชา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีชาวไทยจำนวน 10 คน ถูกนายหน้าค้ามนุษย์หลอกลวงไปทำงานในประเทศกัมพูชา โดยอ้างว่ามีรายได้สูง เมื่อเดินทางไปถึงเมืองอังกอร์ บอเรย กลับถูกนำตัวไปส่งต่อให้กับบริษัทจีนที่ดำเนินกิจการแก๊งคอลเซ็นเตอร์
เบื้องต้น ผู้เสียหายทั้งหมดถูกยึดโทรศัพท์มือถือ ห้ามออกจากสถานที่พัก และถูกบังคับให้อ้างกับครอบครัวว่าปลอดภัย เพื่อไม่ให้มีการแจ้งตำรวจช่วยเหลือ ขณะเดียวกันยังถูกแฮ็กข้อมูลส่วนตัวและบังคับให้เปิดเผยรหัสผ่านต่าง ๆ ทราบว่าหนึ่งในผู้เสียหายเป็นชายชาวจังหวัดตราดด้วย
มีรายงานว่า บริษัทดังกล่าวมีพนักงานมากกว่า 300-400 คน ส่วนใหญ่เป็นคนไทยที่ถูกหลอกมาทำงาน หากใครไม่สามารถทำยอดได้ตามเป้าอาจถูกทำร้ายร่างกายหรือถูกขายต่อไปที่อื่น
ครอบครัวผู้เสียหายเผยว่า ขณะนี้คนจีนที่ควบคุมตัวเรียกค่าไถ่คนละ 200,000 บาท โดยให้เวลาภายใน 1 วัน มิฉะนั้นผู้ถูกกักขังอาจถูกทำร้ายร่างกายหรือโยกย้ายไปยังสถานที่อื่น
ญาติพี่น้องผู้เสียหายต่างวอนขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในไทยและกัมพูชา แม้สถานการณ์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจะซับซ้อนและทำให้การช่วยเหลือติดขัด แต่ครอบครัวยังมีความหวังว่าจะสามารถช่วยเหลือทั้ง 10 คนกลับมาได้อย่างปลอดภัย
นายสายชล อายุ 49 ปี และ นางสาววรานิษฐ์ อายุ 43 ปี ชาวจังหวัดตราด พ่อแม่ของหนึ่งในเหยื่อที่ถูกจับตัวเรียกค่าไถ่ เปิดเผยกับทีมข่าวว่า..
มีคนแนะนำให้ไปทำงานที่กัมพูชา บอกว่าฐานเงินเดือนสูง จนวันที่ 8 กันยายน ลูกชายเดินทางไปกับแฟนสาวและญาติ ๆ แฟน โดยนั่งเครื่องบินไปลงที่กรุงพนมเปญ และมีรถตู้มารับไปที่เมืองอังกอร์ บอเรย หลังจากพักผ่อน 2 วัน จนวันที่ 10 กันยายน 2568 มีรถมารับเข้าบริษัท
ลูกชายได้โทรศัพท์กลับมา ลูกชายบอกว่าโดนหลอกให้เป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งก่อนหน้านี้ลูกชายและแฟนสาวได้ทำงานอยู่ในบ่อนที่จังหวัดไพลิน ก่อนจะถูกชักชวนมาที่นี่
วันที่ 12 กันยายน ลูกชายได้พิมพ์มาหาพ่อ ว่าสบายดี ไม่ต้องแจ้งความ แต่ตนและสามีไม่สบายใจ จนไปเจอว่ามีเพื่อนลูกชายติดต่อมาตามหาญาติ ชวนเข้าไลน์กลุ่มผู้เสียหาย และให้เข้าแจ้งความ ตนจึงรีบไปแจ้งความที่ สภ.ทุ่งเบญจา จ.จันทบุรี เหยื่อทั้งหมดรวมแล้ว 10 คน ลูกชายตน แฟนสาว และญาติ ๆ แฟนลูกชาย และคนอื่น ๆ อีก
ครั้งแรกเป็นเพื่อนคนไทยชักชวนไป บอกว่าที่ทำงานใหม่ให้เงินเดือนสูง 3,000 ดอลลาร์ (กว่าแสนบาท) ทั้งคู่จึงตัดสินใจชวนกันไปดังกล่าว จนไปหน้างานไม่มีอะไรเลย แถมโดนขังอยู่ในห้องไม่ให้ไปไหน
หลังจากตนเข้าไลน์กลุ่มช่วยเหลือคนไทยในกัมพูชา มีคนดำเนินเรื่องอ้างว่าคุยได้ทั้งฝั่งกัมพูชาและฝั่งไทย ชื่อนุ้ย ขอให้โอนเงินค่าดำเนินการคนละ 5,000 บาท
แต่หลังจากทุกคนโอนเงินครบให้ทั้งหมด นางสาวนุ้ยอ้างอีกว่า มีคนแจ้งความแล้วทางฝั่งกัมพูชาจับได้ หลังจากนี้จะให้เอาเงินไปไถ่ตัว คนละ 200,000 บาท จนวันนี้ตนมาแจ้งผู้สื่อข่าว
ที่ผ่านมากว่า 2 สัปดาห์ตนร้อนรนใจมากไปติดต่อหน่วยงานภาครัฐหลายแห่งแล้ว ซึ่งแต่ละที่ก็โยนเรื่องไปมา จนสุดท้ายบอกให้ตนได้ติดต่อไปที่สถานทูตไทยในกัมพูชา บอกว่าจะดำเนินเรื่องให้
ตนอยากฝากเตือนคนไทยที่จะไปทำงานที่กัมพูชา ตนคิดว่าไม่มีหรอกเงินเดือนสูง ๆ เกือบแสนบาท เพราะหากมีจริงทำไมคนกัมพูชาไม่ทำเอง ทำไมยังแอบเข้ามาทำงานในประเทศไทยอยู่เลย
ที่มา : เรื่องเล่าเช้านี้