สอนลูกทำธุรกิจผ่านงานศิลปะแบบพาณิชย์ศิลป์

อยากร่วมแบ่งปันอีกหนึ่งแนวทางในการทำกิจกรรมร่วมกับลูกครับ

ลูกชายเริ่มจะชอบวาดรูปตั้งแต่ประมาณ 8-9 ขวบ ก็วาดเล่นไปเรื่อยตามประสาเด็ก ซึ่งผมก็ไม่ได้ใส่ใจมาก แต่จะพยายามให้เค้ารวบรวมวาดไว้ที่เดียวในสมุด จะได้เก็บไว้ดูได้ พอซักประมาณ 10 ขวบ เริ่มเห็นมีแนวทางในการวาดแต่ก็เริ่มจากวาดdoodleเลียนแบบคนที่เค้าชอบอย่าง K.Haring


อันนี้วาดเพราะเบื่อแม่บ่น


เริ่มรับจ้างวาดหรืองานคอมมิชชั่น
พอวาดไปเรื่อยๆ เค้าก็สร้าง ตัวละครของเค้าขึ้นมาเอง เป็น Character design ของตัวเอง ผมก็เลยลองให้ทำอะไรหลายๆอย่าง เพ้นท์นั่นเพ้นท์นี่เล่น สร้าง IG ขึ้นมาแล้วก็ลงผลงานใน FB, IG พอเพื่อนๆเห็น ก็เริ่มมีคนอยากให้เพ้นท์ของให้บ้าง จุดนี้เริ่มมีรายได้เข้ามา ก็เริ่มคุยหลักการกับลูกว่ามีคนมาจ้างวาดรูปนะ มีการแจ้งรายละเอียด เช่น ลักษณะงาน ค่าจ้าง กำหนดส่งของแต่ละงาน และให้เค้าตัดสินใจเองว่าจะรับไหม โดยค่าจ้างจะมีการหักต้นทุน เช่น เฟรม หรือวัสดุอื่นๆ ยกเว้นสี ที่จะซัพพอร์ทให้ เพราะไม่รู้จะหักต้นทุนให้ยังไงดี และจะมีค่าดำเนินงาน 10% หักไว้ ให้เค้ารู้จักค่าดำเนินงานเพราะตัวเค้าเองจัดการเองไม่ได้ทุกอย่าง ส่วนค่าจ้างหลักหักต้นทุนต่างๆเค้าจะได้ทั้งหมด










เริ่มทำสินค้าพาณิชย์ศิลป์
เมื่อเข้ามาอยู่ในวงการนี้ ผมก็จะหาโอกาสพาลูกไปดูงานศิลปะบ่อยๆ ให้เค้าได้เห็นว่างานคนอื่นเค้าเป็นยังไงบ้าง หลังจากเริ่มสะสมประสบการณ์และพัฒนาลายเส้นตัวเอง ก็เลยคุยกับลูกว่าลองเอางานมาทำเป็นสินค้าขายบ้างไหม เพราะไปเห็นศิลปินคนอื่นๆเค้าทำสินค้าออกมาขายตามงานนิทรรศการต่างๆ ก็เลยค่อยๆเริ่ม Project พาณิชย์ศิลป์ โดยต้นทุนเริ่มแรกชิ้นแรกจะออกให้ก่อน เริ่มแรกผมเสนอให้ 2ทาง
แบบที่ 1 พ่อ/แม่จะเป็นผู้ว่าจ้าง จ้างเค้าวาดรูปเพื่อมาทำสินค้าโดยเค้าจะได้เป็นเงินก้อน แต่จะไม่ได้ส่วนแบ่งจากการขายสินค้า
แบบที่ 2 ลงทุนร่วมกันแบ่งเป็น 2หุ้นส่วน คือ พ่อ+แม่ 50% ลูก50% พ่อ/แม่ออกทุนและดำเนินงานไปทำสินค้า ส่วนลูกก็ออกแรงทำผลงาน ยอดขายหลักหักต้นทุน จะนำมาแบ่งเป็น 2 ส่วน

ลูกผมเลือกแบบที่ 2 ครับ

ก็เลยค่อยๆทำสินค้าออกมา ไม่ว่าจะเป็นสติ๊กเกอร์, โปสการ์ด, เสื้อยืด, กระเป๋า, พวงกุญแจ และเริ่มหัดไปออกร้านตาม Art Market ต่างๆ เท่าที่จะมีโอกาส ซึ่งการออกร้านแบบนี้มันจะเหนื่อยมาก เด็กๆจะมีความคาดหวังสูง ในหัวคิดว่าคนจะมารุมล้อมซื้อสินค้าอะไรแบบนั้น แต่ความจริงคือขายทั้งวัน ได้แค่ 1 ชิ้น ร้อนและเหนื่อย แต่ก็ได้ฝึกให้เค้าได้ขายงานด้วยตัวเอง ให้ฝึกนำเสนอสินค้า อธิบายแนวคิดของสินค้าแต่ละตัว ซึ่งอันนี้สำคัญกว่ายอดขายมากๆ ได้รับมือกับความผิดหวังที่คนไม่ซื้อ ไม่สนใจ เดินผ่าน ไม่มอง ...


เหนื่อยและเศร้า เลยต้องหาทางเลือกอื่น คือการฝากขาย
หลังจากเจ็บและเหนื่อยมาหลายงานก็เลยเสนอแนวคิดว่าลองเอาสินค้าเราไปเสนอตามร้านต่างๆไหม ซึ่งตอนนั้นเริ่มทำสินค้ายาดมออกมา ซึ่งคิดว่าน่าสนใจและเข้าถึงคนได้ง่ายกว่างานพาณิชย์ศิลป์อื่นๆ ทำการบ้านกับลูกโดยการนั่ง List ร้านต่างๆที่คิดว่าเหมาะกับสินค้าของเราและน่าจะสนใจ โดยเราจะเจาะกลุ่ม Art Market และนักท่องเที่ยว ก็พาลูกหิ้วของไปเสนอตามร้านต่างๆเลย บางร้านก็ต้องส่งอีเมล์ บางร้านก็ไปที่หน้าร้านเลย




เดินลุยเสนอสินค้ากับร้านต่างๆ ให้ลูกได้ฝึกหน้าชา เวลาเค้าปฎิเสธ หรือบางร้านก็ไม่ให้โอกาสแม้แต่จะฟังว่าเรามาเสนออะไร แต่สิ่งที่เค้าได้คือได้รู้กระบวนการ เงื่อนไขของร้านต่างๆ ได้ฝึกพูดเสนอสินค้าและแนวคิดของเค้า


หลังจากผ่านความพยายามมา ก็มีบ้างร้านก็ใจดีให้โอกาสกับพวกเราได้เอาสินค้าไปวางขาย ซึ่งตรงกับกลุ่มเป้าหมายของสินค้าด้วย คือที่ตึกแดง, ย่านทรงวาดและร้านขายงานศิลปะในโครงการแถวๆบรรทัดทอง ตอนนี้วางขายมาได้ประมาณ 6 เดือน-1ปี ช่วงวันหยุดจะพาลูกไปตามร้านที่วางขายสินค้าตลอด ให้เค้าไปฟัง Feedback ไปฟังคำแนะนำ เอาข้อมูลต่างๆมาพัฒนางานไปเรื่อยๆ

สำหรับยอดขายก็ถือว่าทำได้ไม่เลว ในส่วนของลูกชายเห็นว่าเก็บเงินได้หลายหมื่นบาท ในส่วนของพ่อ/แม่ เราก็เก็บไว้เป็นเงินลงทุนในการทำสินค้าเรื่อยๆครับ แต่จริงๆแล้วโปรเจกต์นี้ไม่ได้มีเป้าหมายที่เงิน แต่อยากให้เด็กได้ประสบการณ์ในการทำงานและได้สะสมผลงานของลูก เผื่อจะได้เอาไปใช้ในอนาคตเผื่อว่าเค้าอยากจะเข้ามหาลัยที่เกี่ยวกับทางศิลปะครับ




แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่