Su-47 Berkut ชัยชนะบนกระดาษที่พ่ายแพ้ในโลกแห่งความเป็นจริง

Su-47 Berkut ชัยชนะบนกระดาษที่พ่ายแพ้ในโลกแห่งความเป็นจริง
การเกิดและแนวคิดของ Su-47
บทความนี้กล่าวถึง Su-47 Berkut (อินทรีทอง) เครื่องบินขับไล่ที่ถูกสร้างขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 โดยสหภาพโซเวียตและรัสเซีย มันเป็นเครื่องบินที่ล้ำสมัยมาก สร้างขึ้นเพื่อก้าวข้ามขีดจำกัดทางวิศวกรรมการบินและนำแนวคิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นจริงมาก่อนมาใช้ โดยเฉพาะแนวคิดเรื่อง ปีกที่กวาดไปข้างหน้า

แนวคิดของ Su-47 เริ่มขึ้นในยุค 1980s ในช่วงที่สหภาพโซเวียตกำลังแข่งขันด้านอาวุธกับสหรัฐฯ ซึ่งในขณะนั้น สหรัฐฯ กำลังพัฒนาโครงการเครื่องบินขับไล่ยุทธวิธีขั้นสูง (Advanced Tactical Fighter) ที่จะกลายเป็น F-22 Raptor ในอนาคต โซเวียตต้องการเครื่องบินมาต่อกรกับเครื่องบินรุ่นใหม่ของอเมริกา ซึ่งคาดว่าจะมี ความคล่องตัวสูง และ คุณสมบัติหลีกเลี่ยงเรดาร์ (stealth)

สำนักออกแบบ Sukhoi ได้เสนอการออกแบบที่แตกต่างจากคู่แข่งอย่าง Mikoyan (ซึ่งพัฒนา Mig-144) โดย Sukhoi มองว่าเครื่องบินควรเป็นฐานทดสอบสำหรับเทคโนโลยีใหม่ๆ การเดิมพันครั้งนี้มีความเสี่ยงสูงแต่ก็ให้ผลตอบแทนสูง

คุณสมบัติที่โดดเด่นที่สุดของ Su-47 คือ ปีกที่กวาดไปข้างหน้า ซึ่งทำให้เครื่องบินมี ความคล่องตัวสูงมาก โดยเฉพาะที่ความเร็วต่ำกว่าเสียง นอกจากนี้ยังช่วยให้ บินขึ้นและลงจอดบนรันเวย์สั้นลง มี ระยะบินที่ยาวขึ้น และช่วยลดความสามารถในการตรวจจับของเรดาร์จากด้านหน้าได้บางส่วน การออกแบบนี้ยังรองรับการติดตั้ง ระบบควบคุมทิศทางแรงขับ (thrust vectoring) เพื่อเพิ่มความสามารถในการเลี้ยวที่แคบยิ่งขึ้น

การพัฒนาที่สะดุดและการทดลอง
การพัฒนา Su-47 ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องจนกระทั่ง การล่มสลายของสหภาพโซเวียต ในช่วงต้นยุค 1990s ส่งผลให้รัฐบาลรัสเซียยุคใหม่ต้องประสบกับวิกฤตทางการเงิน และตัดสินใจเลือกสนับสนุนโครงการ Mig-144 ซึ่งถือเป็น "ทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า" ส่วนโครงการ Su-47 ถูกระงับเงินทุนทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม สำนักออกแบบ Sukhoi ไม่ได้ยอมแพ้ พวกเขาตัดสินใจลงทุนเองเพื่อสร้างต้นแบบของ Su-47 ขึ้นมา โดยหวังว่าเมื่อเครื่องบินพร้อมใช้งานแล้ว รัสเซียจะเปลี่ยนใจ Berkut ได้บินครั้งแรกในวันที่ 25 กันยายน 1997 ซึ่งเป็นเวลาเพียง 22 วันหลังจาก F-22 Raptor ของอเมริกาขึ้นบินครั้งแรก

คุณสมบัติทางเทคนิคและข้อจำกัด
Su-47 เป็นเครื่องบินที่นั่งเดียว มีขนาดใหญ่และมีน้ำหนักตัวเปล่าประมาณ 26 ตัน สามารถบินขึ้นได้ที่น้ำหนักสูงสุด 34 ตัน ใช้เครื่องยนต์เทอร์โบแฟน Solovyov D-30 สองเครื่อง ที่สามารถทำความเร็วสูงสุดตามการทดสอบที่ Mach 1.6 แต่ในทางทฤษฎีสามารถทำได้ถึง Mach 2.21 ที่ระดับน้ำทะเล มันมีเพดานบินสูง 18,000 เมตร และมีระยะบิน 3,300 กม.

เครื่องบินสามารถติดตั้งอาวุธได้บน จุดแข็ง 14 จุด รวมถึงช่องเก็บอาวุธภายใน และคาดว่าจะติดตั้งปืนใหญ่อัตโนมัติ Gryazev-Shipunov GSh-30-1 ขนาด 30 มม. นอกจากนี้ยังมีที่นั่งนักบินที่ทำมุม 60 องศาเพื่อรองรับแรง G ที่สูงมาก

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีความโดดเด่น Su-47 ก็มีข้อจำกัดที่สำคัญ ปีกที่กวาดไปข้างหน้า สร้างความเครียดที่ปลายปีกสูงมาก ทำให้เสี่ยงต่อการหักเมื่อบินด้วยความเร็วเหนือเสียง และเมื่อบรรทุกอาวุธจะยิ่งเพิ่มความเครียดมากขึ้น

นอกจากนี้ แนวคิดเรื่อง ความคล่องตัวสูง ที่ Su-47 ให้ความสำคัญก็เริ่มล้าสมัยไปแล้ว เพราะในยุคใหม่ เครื่องบินขับไล่จะโจมตีกันด้วยขีปนาวุธจาก นอกระยะมองเห็น โดยอาศัยคุณสมบัติ stealth ซึ่ง F-22 มีอย่างครบถ้วน แต่ Su-47 ไม่มี การต้องชะลอความเร็วเพื่อใช้ความคล่องตัวในการต่อสู้ในระยะใกล้จึงไม่มีประโยชน์เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูที่สามารถโจมตีได้จากระยะไกลโดยที่เรดาร์ตรวจไม่พบ

บทสรุปและผลกระทบ
การทดลอง Su-47 สิ้นสุดลงด้วยความล้มเหลวในการผลิตเป็นจำนวนมาก เพราะมันเป็นแนวคิดที่ผิดทางเมื่อเทียบกับทิศทางของเทคโนโลยีเครื่องบินขับไล่ยุคที่ 5 อย่างไรก็ตาม Su-47 ไม่ได้ไร้ประโยชน์เสียทีเดียว

มันได้สร้าง ความสนใจและชื่อเสียง ให้กับการออกแบบการบินของรัสเซีย และกลายเป็น สัญลักษณ์ของความภาคภูมิใจ ของชาติในช่วงเวลาที่ยากลำบาก นอกจากนี้ องค์ประกอบทางเทคนิคบางอย่างของมันยังถูกนำไปใช้ในเครื่องบินรุ่นถัดมา เช่น Su-57 และ Su-75

โดยสรุป Su-47 เป็นการทดลองที่กล้าหาญและเป็นเอกลักษณ์ในประวัติศาสตร์การบิน แต่ในที่สุดก็ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับความต้องการที่เปลี่ยนไปของการต่อสู้ทางอากาศในยุคใหม่ได้
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่