อธิบายคำว่า Sub-Area License กลยุทธ์ 7-Eleven ให้ร้านค้าท้องถิ่น ช่วยดูแลสาขาให้ | BrandCase

รู้ไหมว่าในหลายพื้นที่ในไทย มีกลุ่มค้าปลีกหลายกลุ่มที่เป็นพาร์ตเนอร์ของ CPALL เจ้าของ 7-Eleven และได้รับสิทธิ์ให้ดูแล 7-Eleven หลาย ๆ สาขาในพื้นที่นั้น

https://www.facebook.com/share/p/17FuatAtR4/?mibextid=wwXIfr


อย่างเช่น ที่เชียงใหม่ มีกลุ่มตันตราภัณฑ์ เจ้าของซูเปอร์มาร์เก็ตริมปิง เป็นกลุ่มที่ได้ Sub-Area License ของ 7-Eleven

ที่อุบลราชธานี มีกลุ่มยิ่งยง เจ้าของห้างยิ่งยง เป็นกลุ่มที่ได้ Sub-Area License ของ 7-Eleven

แล้วคำว่า Sub-Area License ของ CPALL คืออะไร ?
BrandCase สรุปให้ แบบเข้าใจง่าย ๆ

-เมื่อปี พ.ศ. 2532 7-Eleven เปิดในไทยสาขาแรก ที่ซอยพัฒน์พงศ์ ในตอนนั้น คนไทยยังไม่ค่อยรู้จักคำว่าร้านสะดวกซื้อ กันเท่าไรนัก

เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ หัวเรือใหญ่ของ CPALL ต้องการให้ร้านสะดวกซื้อในรูปแบบใหม่นี้ สามารถขยายสาขาได้อย่างรวดเร็วทั่วประเทศ ทั้งในกรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัด

โดยโมเดลขยายสาขาร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ในตอนนั้นก็มีอยู่ 2 รูปแบบหลัก ๆ นั่นคือ
- แบบที่บริษัทไปเปิดเอง
- แบบขายแฟรนไชส์

แต่ปัญหาหลัก ๆ ในตอนนั้นก็มีอยู่ว่า
คนไทยในต่างจังหวัดไกล ๆ ยังไม่คุ้นเคยกับร้านค้าปลีกสมัยใหม่ อย่างร้านสะดวกซื้อ

แถมคนในแต่ละพื้นที่ ล้วนมีความต้องการสินค้าที่แตกต่างกัน และมีวิถีชีวิตที่แตกต่างกันอย่างมาก
ดังนั้น รูปแบบในการทำตลาดของแต่ละจังหวัด ก็จะไม่เหมือนกันเสมอไป

ซึ่งในช่วงนั้น CPALL เจ้าของ 7-Eleven ก็ยังคงเป็นมือใหม่ในธุรกิจร้านสะดวกซื้อ
โดยเฉพาะการจะเข้าหาลูกค้าในแต่ละพื้นที่ เช่น ในต่างจังหวัดไกล ๆ

CPALL จึงตัดสินใจหาพาร์ตเนอร์ ที่เป็นกลุ่มร้านค้าท้องถิ่นในต่างจังหวัด ที่มีความเชี่ยวชาญ ในการทำธุรกิจกับคนในพื้นที่มากกว่า

โดย CPALL ได้จับมือกับกลุ่มร้านค้าท้องถิ่นทั้ง 4 เจ้า ในจังหวัดเชียงใหม่ อุบลราชธานี ภูเก็ต และยะลา

ซึ่ง CPALL ได้ทำสัญญากับกลุ่มทุนท้องถิ่นทั้ง 4 เจ้านี้
ในรูปแบบ Sub-Area License หรือแปลเป็นไทยว่า “การรับสิทธิช่วงอาณาเขตบริหารแฟรนไชส์”

โดยหลักการของโมเดล Sub-Area License ก็คือ

ทาง CPALL จะให้สิทธิ์แก่ผู้ประกอบการท้องถิ่นเพียงรายเดียว ในพื้นที่นั้น ๆ  เพื่อเปิด 7-Eleven และขยายสาขาได้ด้วยตัวเอง

แถมผู้ประกอบการท้องถิ่นที่ CPALL ให้สิทธิ์ไป ยังสามารถขายแฟรนไชส์ ให้กับคนทั่วไปที่อยากเป็นเจ้าของร้าน 7-Eleven ในพื้นที่จังหวัดดังกล่าว แทน CPALL ได้อีกด้วย

โดยที่ CPALL จะให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนธุรกิจเป็นบางเรื่อง ตามเงื่อนไขที่ตกลงกัน

ซึ่งในตอนนั้น ทาง CPALL ได้ให้สิทธิ์แก่กลุ่มร้านค้าท้องถิ่นทั้ง 4 เจ้าในจังหวัดต่าง ๆ ดังนี้

- ให้สิทธิ์ กลุ่มตันตราภัณฑ์ เปิด 7-Eleven ในจังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน และแม่ฮ่องสอน

- ให้สิทธิ์ กลุ่มยิ่งยง เปิด 7-Eleven ในจังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ และอำนาจเจริญ

- ให้สิทธิ์ กลุ่มงานทวี เปิด 7-Eleven ในจังหวัดภูเก็ต ระนอง พังงา กระบี่ และตรัง

- ให้สิทธิ์ กลุ่มศรีสมัย เปิด 7-Eleven ในจังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส

ซึ่งเหตุผลหลักที่ CPALL เลือกเป็นพาร์ตเนอร์กับร้านค้าท้องถิ่น เพื่อขยายธุรกิจร้านสะดวกซื้อในจังหวัดดังกล่าว เมื่อ 30 กว่าปีก่อน

ก็เพื่อให้พาร์ตเนอร์ท้องถิ่นช่วยทำตลาด และทำร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ให้เป็นที่รู้จักในระดับท้องถิ่นได้อย่างรวดเร็ว

โดย CPALL จะเลือกเป็นพาร์ตเนอร์กับผู้ประกอบการท้องถิ่นที่ทำธุรกิจกับคนในพื้นที่มานาน จนเกิดความเชี่ยวชาญ อย่าง

- กลุ่มตันตราภัณฑ์ ที่ทำธุรกิจอยู่คู่กับคนเชียงใหม่มานาน

โดยเริ่มจากทำธุรกิจร้านโชห่วยใกล้ ๆ กับตลาดวโรรส หลังจากนั้นก็เริ่มขยายธุรกิจมายังห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ตริมปิง

- กลุ่มยิ่งยง ที่เป็นเจ้าของห้างยิ่งยง ซึ่งเป็นอดีตห้างเก่าแก่ อยู่คู่ชาวอุบลราชธานีมากว่า 30 ปี

- กลุ่มงานทวี ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ ในโซนจังหวัดภูเก็ต โดยทำธุรกิจหลากหลาย

ทั้งธุรกิจสวนยางพารา เหมืองแร่ ปูนซีเมนต์ ร้านขายส่ง อสังหาริมทรัพย์ และโรงแรมรอยัล ภูเก็ต ซิตี้ ซึ่งเป็นโรงแรมชื่อดังใจกลางเมืองภูเก็ต

- กลุ่มศรีสมัย ซึ่งเป็นเจ้าของโกดังสินค้า และห้างค้าส่งขนาดใหญ่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่เข้าใจวิถีชีวิต และขนบธรรมเนียมที่เป็นเอกลักษณ์ ของคนในพื้นที่ 3 จังหวัดเป็นอย่างดี

ซึ่งโมเดลการขยายสาขาแบบ Sub-Area License ก็เติบโตขึ้นอย่างมาก

จนสิ้นปี 2567 ร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven มีสาขา Sub-Area License ของร้านค้าท้องถิ่นทั้งหมด 908 สาขา
คิดเป็น 6% ของจำนวนสาขา 7-Eleven ทั้งหมดทั่วประเทศไทย

ซึ่งก็ต้องบอกว่า ในพื้นที่จังหวัดอื่น ๆ ที่เหลือ ที่ไม่มีร้านค้าท้องถิ่นรับสิทธิ์ขยายสาขา หรือแฟรนไชส์

CPALL เจ้าของ 7-Eleven ก็ต้องเข้าไปทำตลาดด้วยตัวเอง ด้วย 2 รูปแบบหลัก ๆ นั่นคือ

- แบบ CPALL เข้าไปเปิด 7-Eleven ด้วยตัวเอง บริหารเองทำเองหมด

- แบบ Store Business Partner ซึ่งเป็นรูปแบบสาขาที่ต่อยอดจากรูปแบบแฟรนไชส์ ที่ 7-Eleven เคยทำเมื่อหลายปีก่อน

ซึ่งรูปแบบนี้ จะให้คนทั่วไปมาเป็นเจ้าของ 7-Eleven ผ่านการเป็นผู้จัดการร้าน

โดยคนเป็นผู้จัดการร้าน จะมีค่าใช้จ่ายในการเปิดร้าน
ส่วน CPALL จะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการตกแต่งร้าน อุปกรณ์ในการขาย รวมถึงสินค้าที่นำมาขายด้วย

ทีนี้ เราไปดูรายได้ และกำไรของทั้ง 4 บริษัท ที่เป็น Sub-Area License ให้กับ CPALL กันบ้าง

- บริษัท ชอยส์ มินิ สโตร์ จำกัด บริษัทในกลุ่มตันตราภัณฑ์
เจ้าของสิทธิ์ 7-Eleven ในจังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน และแม่ฮ่องสอน

ปี 2567 มีรายได้ 11,859 ล้านบาท กำไร 628 ล้านบาท

- บริษัท ยิ่งยง มินิมาร์ท จำกัด บริษัทในกลุ่มยิ่งยง
เจ้าของสิทธิ์ 7-Eleven ในจังหวัดอุบลราชธานี สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอำนาจเจริญ

ปี 2567 มีรายได้ 6,131 ล้านบาท กำไร 218 ล้านบาท

- บริษัท งานหนึ่ง จำกัด บริษัทในกลุ่มงานทวี
เจ้าของสิทธิ์ 7-Eleven ในจังหวัดภูเก็ต ระนอง พังงา กระบี่ และตรัง

ปี 2567 มีรายได้ 2,584 ล้านบาท กำไร 126 ล้านบาท

- บริษัท ยะลาเซเว่น จำกัด บริษัทในกลุ่มศรีสมัย
เจ้าของสิทธิ์ 7-Eleven ในจังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส

ปี 2567 มีรายได้ 3,212 ล้านบาท กำไร 98 ล้านบาท

สรุปก็คือ Sub-Area License เป็นวิธีการขยายสาขาของ 7-Eleven วิธีหนึ่ง
ที่ CPALL ได้ใช้ เพื่อให้ร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าท้องถิ่น

ที่ในต่างจังหวัด แต่ละพื้นที่ ต่างก็มีลักษณะเฉพาะ มีความต้องการสินค้าที่ไม่เหมือนกัน หรือมีวิถีชีวิตที่ต่างกัน

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่