กับดักจ่ายบัตรขั้นต่ำ ทำงานอย่างไร ? ทำไมมีกลไก คิดดอกเบี้ย 2 ก้อน /โดย ลงทุนแมน

รูดใช้บัตรเครดิตและ “จ่ายขั้นต่ำ” ไปก่อน
หนึ่งในท่าประจำที่มนุษย์เงินเดือนใช้

https://www.facebook.com/share/p/17aVRiKyrg/?mibextid=wwXIfr

ปัจจุบัน ธนาคารแห่งประเทศไทย
ได้กำหนดเรตยอดชำระขั้นต่ำบัตรเครดิตไว้ที่ 8% ต่อปี

สมมติว่า ยอดหนี้บัตรเครดิต 10,000 บาท เราปิดหนี้แค่ 800 บาท ให้ทันกำหนดชำระ
เพียงแค่นี้เราก็ไม่ต้องติดเครดิตบูโร

แต่รู้หรือไม่ว่า ถ้าเรารูดบัตรเครดิต สมมติว่าจ่าย 10,000 บาท
แต่เราชำระขั้นต่ำ 8% ของเดือน
ยอดดอกเบี้ยที่โดนคิด จะไม่ใช่แค่คิดเฉพาะก้อนที่เหลือค้างชำระเท่านั้น แต่จะโดนคิดจาก 2 ก้อนเลยทีเดียว..

ทำไมถึงเป็นแบบนั้น ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง

หลายคนอาจยังไม่รู้ว่า ถ้าเรามียอดค้างชำระบัตรเครดิต
แล้วเราชำระไม่ครบ หรือขาดไปแค่ 10 บาท หรือ 20 บาท ก็โดนคิดดอกเบี้ยแล้ว

อย่างสมมติว่า เรารูดซื้อสินค้าที่ 10,000 บาท

วันสรุปยอดค่าใช้จ่าย หลาย ๆ ค่ายบัตรเครดิต มักจะเสนอ 3 วิธีการชำระเงิน ได้แก่

ทางเลือกที่ 1 จ่ายขั้นต่ำที่ 800 บาท (ทางเลือกที่มักเป็น Default บนแอปพลิเคชันบัตรเครดิต)
ทางเลือกที่ 2 แบ่งจ่าย โดยกำหนดยอดชำระเอง
ทางเลือกที่ 3 จ่ายเต็มจำนวนที่ 10,000 บาท

ทีนี้ สมมติว่าตัวอย่างเคสการใช้บัตรเครดิต
- รูดซื้อสินค้า 10,000 บาท ในวันที่ 1 มกราคม
- สรุปยอดบัญชี โดยมียอดค้างชำระ 10,000 บาท ในวันที่ 30 มกราคม
- มีกำหนดชำระภายในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ หรือในอีก 15 วันถัดมา

จากเคสนี้
- ถ้าหากเราเลือกทางเลือกที่ 3

คือจ่ายเต็มจำนวนที่ 10,000 บาท เพื่อปิดยอดบัตรเครดิตให้หมด
ภายในระยะเวลาที่กำหนด คือวันที่ 14 กุมภาพันธ์ แบบนี้เราจะไม่เสียดอกเบี้ย

เพราะบริษัทผู้ออกบัตรเครดิต จะมีระยะเวลาปลอดดอกเบี้ย ให้กับผู้ใช้บัตรเป็นเวลา 40-50 วัน
ซึ่งถ้าหากผู้ใช้บัตรเครดิตสามารถเคลียร์ยอดค้างชำระจนหมด ผู้ใช้บัตรเครดิตก็จะไม่เสียดอกเบี้ย

- แต่ถ้าหากเราเลือกทางเลือกที่ 1 คือจ่ายขั้นต่ำ
หรือทางเลือกที่ 2 คือเลือกปิดยอดแค่บางส่วน เมื่อเป็นแบบนี้ เราจะเริ่มโดนคิดดอกเบี้ย

แล้วถ้าเราเลือกจ่ายขั้นต่ำ จะโดนคิดดอกเบี้ยอย่างไร ?

สมมติ เรามียอดค้างชำระที่ 10,000 บาท
และเราเลือกจ่ายขั้นต่ำไป 800 บาท ภายในวันกำหนดชำระ หรือวันที่ 14 พอดี
เราจะเหลือเป็นยอดหนี้คงค้าง 9,200 บาท

ซึ่งตรงนี้ หลายคนก็อาจจะเข้าใจว่า ดอกเบี้ยจากบัตรเครดิต
จะคิดเฉพาะแค่ดอกเบี้ยจากยอดหนี้คงค้าง หรือแค่เฉพาะก้อน 9,200 บาท แค่นั้น

แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่ เพราะถ้าเราจ่ายไม่ครบยอด หรือแบ่งจ่ายแค่บางส่วน
ดอกเบี้ยจะคิดจากยอดค่าใช้จ่ายเต็มจำนวน ตั้งแต่วันที่เรารูดบัตรเครดิตเลย

อธิบายง่าย ๆ คือ ดอกเบี้ยบัตรเครดิต จะคิดเป็น 2 ก้อน
- ก้อนที่ 1 คือคิดดอกเบี้ยจากยอดบัตรเครดิตทั้งหมด โดยนับวันคิดดอกเบี้ยจากวันแรกที่รูด
- ก้อนที่ 2 คือคิดดอกเบี้ยจากยอดหนี้ค้างชำระ

ทีนี้ลองดูไปทีละก้อน

- ก้อนที่ 1 คือคิดดอกเบี้ยจากยอดบัตรเครดิตทั้งหมด

อย่างในกรณีนี้ คือรูดใช้ วันที่ 1 มกราคม
วันที่ 30 มกราคม ยอดเรียกเก็บ 10,000 บาท
และเราแบ่งชำระค่าบัตรเครดิต ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์

เมื่อเป็นแบบนี้ ดอกเบี้ยก็จะคิดตั้งแต่วันที่เรารูด คือวันที่ 1 มกราคม ไปจนถึงวันที่เราจ่ายเงินจริง ๆ คือวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เมื่อคิดเป็นจำนวนวันแล้ว อยู่ที่ 45 วัน

โดยอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิต จะอ้างอิงตามกฎหมายที่ 16% ต่อปี

เมื่อเป็นแบบนี้
ดอกเบี้ยที่เราต้องชำระจะเท่ากับ
ยอดที่รูดไป x อัตราดอกเบี้ย x (จำนวนวันนับตั้งแต่ที่เรารูด ÷ 365)

เท่ากับ 10,000 บาท x 16% ต่อปี x (45 วัน ÷ 365 วัน)
หรือเท่ากับ 197.3 บาท

- ก้อนที่ 2 คือดอกเบี้ยจากยอดหนี้ค้างชำระ

รูด 10,000 บาท และเราเลือกจ่ายขั้นต่ำไป 800 บาท

ก็เท่ากับว่า เราเหลือหนี้ค้างชำระอีก 9,200 บาท
ซึ่งก้อนหนี้ที่ค้างชำระนี้ ก็จะถูกยกไปสรุปเป็นยอดค้างชำระในรอบบิลเดือนถัดไป ซึ่งก็คือวันที่ 28 กุมภาพันธ์

โดยดอกเบี้ย ก็จะคิดจากจำนวนวันที่เราค้างหนี้
คือตั้งแต่วันที่เราได้จ่ายยอดค้างชำระขั้นต่ำ คือวันที่ 14 กุมภาพันธ์
ไปจนถึงวันสรุปยอดบัญชีรอบถัดไป คือ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ โดยคิดเป็นจำนวนวัน 14 วัน

เมื่อเป็นแบบนี้ ดอกเบี้ยที่เราต้องชำระจะเท่ากับ
ยอดหนี้คงค้าง x อัตราดอกเบี้ย x (จำนวนวันที่เราค้างหนี้ ÷ 365)

เท่ากับ 9,200 บาท x 16% ต่อปี x (14 วัน ÷ 365 วัน)
หรือเท่ากับ 56.5 บาท

สรุปแล้ว ถ้าเราเป็นหนี้บัตรเครดิต 10,000 บาท
แต่แบ่งจ่ายขั้นต่ำที่ 800 บาท

เราก็จะเจอดอกเบี้ย 2 ก้อน
คือ ดอกเบี้ยจากยอดบัตรเครดิตทั้งหมด (ก้อนที่ 1) + ดอกเบี้ยจากยอดหนี้ค้างชำระ (ก้อนที่ 2)

เท่ากับ 197.3 + 56.5 = 254 บาท

จากตรงนี้ จะเห็นได้ว่าดอกเบี้ยก้อนที่ 2 หรือดอกเบี้ยจากยอดหนี้ค้างชำระนั้น ไม่มากเท่าไร

แต่จะไปหนักตรง ดอกเบี้ยก้อนที่ 1 คือดอกเบี้ยจากยอดบัตรเครดิตทั้งหมดตั้งแต่ที่เรารูด

ซึ่งสิ่งที่ลงทุนแมนกำลังจะบอกก็คือ
ถ้าเราเป็นหนี้จากการรูดบัตรเครดิต พอสรุปยอดแล้ว เราจ่ายเงินไม่ครบแม้แต่ 10 บาท หรือ 20 บาท
ไม่ว่าอย่างไร เราก็โดนดอกเบี้ยขั้นต่ำ “จากก้อนที่ 1” หรือหนี้จากยอดบัตรเครดิตทั้งหมดอยู่ดี

ซึ่งถ้าเราไปดูจากตัวอย่างเดียวกัน

สมมติว่า เรารูด 10,000 บาท ในวันที่ 1 แล้ว
วันสรุปยอดบัญชี หรือวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เรากลับจ่ายไม่ครบ 10,000 บาท
นี่คือค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่เราต้องชำระ

- ถ้าเราแบ่งจ่าย 9,980 บาท ดอกเบี้ย 197 บาท
- ถ้าเราแบ่งจ่าย 9,900 บาท ดอกเบี้ย 198 บาท
- ถ้าเราแบ่งจ่าย 9,000 บาท ดอกเบี้ย 203 บาท
- ถ้าเราแบ่งจ่าย 7,000 บาท ดอกเบี้ย 216 บาท
- ถ้าเราแบ่งจ่าย 5,000 บาท ดอกเบี้ย 228 บาท
- ถ้าเราแบ่งจ่าย 3,000 บาท ดอกเบี้ย 240 บาท
- ถ้าเราแบ่งจ่ายขั้นต่ำที่ 800 บาท ดอกเบี้ย 254 บาท

จากตัวเลขดอกเบี้ยนี้ จะเห็นได้ว่า ต่อให้เรามีหนี้บัตรเครดิต
แล้วจ่ายเงินไม่ครบ แม้ว่าจะขาดไปแค่ 20 บาท

เราก็จะโดนคิดดอกเบี้ยอย่างน้อย 197 บาท เพราะมีดอกเบี้ย “ก้อนที่ 1”
ซึ่งก็คือดอกเบี้ยจากยอดค้างชำระเต็มจำนวน ค้ำไว้เป็นฐานนั่นเอง

และถ้าเดือนต่อไป เราเลือกแบ่งชำระโดย “จ่ายขั้นต่ำ” อีกรอบ
เงินก้อนนั้นก็จะไปหักค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย จนเหลือ “0” ก่อน
จากนั้นจึงค่อยไปหักเงินต้น ซึ่งก็คือยอดหนี้ที่เรารูดบัตรเครดิตทีหลัง

อย่างสมมติว่า
ถ้าเราเลือกจ่ายขั้นต่ำที่ 800 บาท นอกจากเราจะโดนคิดดอกเบี้ยในเดือนแรกแล้ว

ในเดือนต่อไป ถ้าเราจ่ายหนี้บัตรเครดิตที่ 800 บาทเท่าเดิม
เงินส่วนนี้ ก็จะเอาไปโปะดอกเบี้ยที่ 16% จนหมดก่อน
แล้วค่อยเอาไปโปะเงินต้น หรือยอดค้างชำระที่เรารูด

โดยงวดต่อไป มียอดค้างชำระคงเหลือเท่าไร ก็จะนำไปคิดดอกเบี้ยจากเงินต้นก้อนนั้น

ทีนี้ เคสที่ร้ายแรงที่สุด ของการใช้บัตรเครดิตและจ่ายขั้นต่ำ
ก็คือ เรารูดซื้อสินค้าทุกเดือน และจ่ายขั้นต่ำไปเรื่อย ๆ ทุกเดือน จนกลายเป็นหนี้สะสม

ลงทุนแมนจะลองคำนวณให้ดูว่า

ถ้าเรารูดซื้อสินค้าทุกวันที่ 1 ของเดือน เดือนละ 10,000 บาท
แล้วเราจ่ายขั้นต่ำทุกเดือนที่ยอด 8% ในวันกำหนดชำระ หรือวันที่ 14 ของเดือนถัดไป

เรามาดูกันว่ายอดหนี้แต่ละเดือน จะพอกพูนขึ้นมาอย่างไร เริ่มจาก

- เดือน 1 จะมียอดค้างชำระ 10,000 บาท
- เดือน 2 จะมียอดค้างชำระ 19,454 บาท ดอกเบี้ย 254 บาท
- เดือน 3 จะมียอดค้างชำระ 28,518 บาท ดอกเบี้ย 367 บาท

- เดือน 4 จะมียอดค้างชำระ 37,142 บาท ดอกเบี้ย 538 บาท
- เดือน 5 จะมียอดค้างชำระ 45,411 บาท ดอกเบี้ย 701 บาท
- เดือน 6 จะมียอดค้างชำระ 53,337 บาท ดอกเบี้ย 858 บาท

- เดือน 7 จะมียอดค้างชำระ 60,936 บาท ดอกเบี้ย 1,008 บาท
- เดือน 8 จะมียอดค้างชำระ 68,221 บาท ดอกเบี้ย 1,152 บาท
- เดือน 9 จะมียอดค้างชำระ 75,204 บาท ดอกเบี้ย 1,289 บาท

- เดือน 10 จะมียอดค้างชำระ 81,898 บาท ดอกเบี้ย 1,421 บาท
- เดือน 11 จะมียอดค้างชำระ 88,316 บาท ดอกเบี้ย 1,548 บาท
- เดือน 12 จะมียอดค้างชำระ 94,469 บาท ดอกเบี้ย 1,670 บาท
- เดือน 13 จะมียอดค้างชำระ 100,367 บาท ดอกเบี้ย 1,786 บาท

จะเห็นได้ว่า แค่ผ่านไป 1 ปี ถ้าเราเลือกรูดใช้ 10,000 บาทต่อเดือน แล้วจ่ายขั้นต่ำไปเรื่อย ๆ ยอดค้างชำระ ที่รวมดอกเบี้ยไว้แล้ว ก็จะพุ่งสูงจนสะสมถึง 100,000 บาท  

ซึ่งยอดค้างชำระ 100,000 บาท ถ้าเรายังชำระหนี้ไม่หมด
ดอกเบี้ยก็จะวิ่งไปเรื่อย ๆ จนกว่าเงินต้นหรือยอดค้างชำระจะหมดลงไป

ถึงตรงนี้ ก็น่าจะเห็นภาพมากขึ้นว่า การ “จ่ายขั้นต่ำ” ที่เป็นเหมือนท่าง่าย ของมนุษย์เงินเดือน
แต่ถ้าทำบ่อย ๆ ก็อาจเป็นกับดักหนี้ที่บวมขึ้นเป็นอย่างมากโดยไม่รู้ตัว
อย่างที่เราเห็นหลาย ๆ เคส ในสังคมไทยปัจจุบัน

ซึ่งถ้าหากเรารูดบัตรเครดิต แล้วไม่สามารถจ่ายได้ภายในงวดเดียว
เราก็ต้องพยายามมองหาทางเลือกอื่น ในการบริหารจัดการหนี้บัตรเครดิต

ทางเลือกนั้นก็อย่างเช่น

- การผ่อนชำระ 0% นาน 10 เดือน ถ้าจำเป็นต้องซื้อสินค้า
และสินค้านั้นเข้าร่วมเงื่อนไขผ่อนชำระ กับบริษัทผู้ออกบัตรเครดิต

- โทรหาบริษัทผู้ออกบัตรเครดิต เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ที่เหลืออยู่ และต่อรองดอกเบี้ย
กับบริษัทผู้ออกบัตรเครดิต

- ในระหว่างที่เป็นหนี้ ให้ชะลอการใช้บัตรเครดิต โดยรูดให้น้อยลง แล้วจัดการหนี้ที่เหลืออยู่ให้หมดไปก่อน

และทั้งหมดนี้ เป็นวิธีการจัดการหนี้บัตรเครดิต โดยหลีกเลี่ยงการจ่ายขั้นต่ำ
ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ใช้บัตรเครดิต อาจมีหนี้บวมขึ้นมาก
และชำระหนี้ไม่ทัน จนเกิดปัญหาหนี้ล้นตัวจนจ่ายคืนไม่ไหว ตามมานั่นเอง..

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่