สรุปดราม่าออมสุชาร์และฟลีนบิวตี้

สรุปผลการชี้แจงในโหนกระแส ตาม Timeline
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เราดูโหนกระแสมาหลายเทปแล้ว เอะใจกับเรื่องดังนี้
- การแอบบันทึกเสียงการสนทนาของบุคคลอื่นแล้วนำมาเผยแพร่ โดยที่อีกฝ่ายไม่ได้รับความยินยอม ทำไมเรื่องนี้คนถึงทำกันอย่างแพร่หลายและคนยังยอมรับกันได้ ?  ทั้ง ๆ ที่ในฐานะปุถุชน เรามองว่าเป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัวและความเชื่อใจมาก ๆ  และถ้าการเผยแพร่นั้นทำให้คนอื่นเสื่อมเสีย
ชื่อเสียง ก็จะมีลักษณะเป็นการละเมิดตาม ป.พ.พ.  อีกทั้งยังไม่สามารถนำไปใช้เป็นพยานในชั้นศาลได้ตาม มาตรา 226/1 ป. วิ อาญา  เนื่องจากมีลักษณะเป็นหลักฐานที่ได้มาโดยมิชอบ (อีกฝ่ายไม่รู้ตัวและไม่ได้ยินยอม) แต่เท่าที่เห็นรายการก็ยังคงนำเทปมาเผยแพร่และความเห็นสาธารณะก็ยังไม่ได้เห็นว่าเป็นเรื่องร้ายแรงอะไร  เรื่องนี้ไม่ใช่แค่กรณีนี้ แต่มีกรณีอื่น ๆ อีกมาก เช่น เทปโตโน่

- เมื่อออมรู้สึกว่าสิ่งที่พรีมทำไม่ถูกต้อง ได้แก่ เรื่องการรีแบรนด์ RAD วิธีการแก้ไขปัญหาของออมว่าเหมาะสมหรือไม่อย่างไร ? ส่วนนี้ความเห็นสาธารณะค่อนข้างหลากหลาย  แต่ยังไม่มีใครออกมายืนหยัดว่า ถ้าเราจะต่อสู้กับสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เราก็ควรจะยืนหยัดต่อสู้ด้วยวิธีที่ถูกต้องและตรงไปตรงมา หมายความว่า ถ้าอีกฝ่ายไม่โปร่งใส สิ่งนั้นไม่ได้ justify ที่เราจะโต้กลับด้วยวิธีการที่ไม่โปร่งใส


***** แก้ไขเมื่อจำนวนความเห็น = 40
ส่วนตัวเราไม่ได้มีความเห็นต่อเรื่องฟลีนบิวตี้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด แต่สนใจความเห็นสาธารณะมากกว่า ที่อ่านมาสรุปได้ว่า
- ความเห็นส่วนใหญ่ยังคงไปในทิศทางที่ว่า ถ้าอีกฝ่ายทำผิดก่อน ก็ถือว่ายอมรับกับการโต้ตอบโดยใช้เล่ห์เหลี่ยมได้
- บางส่วนมองว่าไม่แปลก เพราะว่าเป็นโลกธุรกิจ ไม่ใช่ความสัมพันธ์ฉันเพื่อน การแอบซื้อหุ้นโดยไม่บอกเป็นวิถีปฏิบัติปกติในแวดวงธุรกิจ
- วิธีคิดดังกล่าวเข้าใจได้เพราะเป็นสัญชาติญาณพื้นฐาน สอดคล้องกับค่านิยมไทยจีน บุญคุณต้องทดแทน แค้นต้องชำระ
- ประเทศไทยยังเป็นสังคมที่ยอมรับเรื่อง end justifies means ผลลัพธ์อธิบายวิธีการได้  ซึ่งต่างจากแนวคิดอันเป็นรากฐานของระบบกฎหมายภายใต้ระบอบประชาธิปไตยตะวันตก ซึ่งให้ความสำคัญ "วิธีการที่ถูกต้อง" เหนือผลลัพธ์   ดังนั้น ผู้ที่ไม่พอใจจึงยอมรับนายกรัฐมนตรีที่ตนเองไม่ชอบและรอคอยการเลือกตั้งครั้งใหม่ / ถ้าไม่เห็นด้วยกับกฎหมาย ก็เรียกร้องให้มีการแก้กฎหมาย แต่ไม่ได้แอบฝ่าฝืนกฎหมายหรือติดสินบน

เรื่องนี้ ค่อนข้างชัดว่า RAD ปัจจุบันเป็นการเปิดบริษัทใหม่ และพรีมไม่ได้รับหนังสือยินยอมจากผู้ถือหุ้นให้ค้าแข่ง การกระทำของพรีมจึงผิดกฎหมายชัดเจน (ยกเว้นจะมีหลักฐานอื่นหรือข้อโต้แย้งอื่น)  ส่วนออม แม้ว่าจะไม่ผิดกฎหมายข้อใด แต่เมื่อเกิดปัญหาไม่พอใจหุ้นส่วนทางธุรกิจ แนวทางปฏิบัติในการแก้ไขระหว่างหุ้นส่วนที่ควรจะเป็น คือการเจรจาระหว่างกันก่อนที่จะดำเนินการขั้นเด็ดขาดในทางลับหลัง  

ส่วนการหว่านล้อมให้ขายหุ้น เราว่าคนที่อยู่ตรงนั้นคงทราบได้เองว่า ศสาเข้าใจพฤติการณ์อันเป็นมูลเหตุจูงใจผิดไปจากความเป็นจริงหรือไม่ แต่ในเมื่อไม่มีหลักฐานในการเจรจาให้ขายหุ้นในครั้งนั้น คงยากที่ศาลจะพิพากษาว่าศสามีความบกพร่องแห่งเจตนาที่จะขายหุ้น
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 18
รู้สึกตงิดตั้งแต่เมื่อวาน พ บอกว่า อ รู้อยู่แล้วว่า พ ทำแบรนด์ R อยู่ก่อน สามัญสำนึกคนทำธุรกิจ ถ้าหุ้นส่วนเป็นเจ้าของแบรนด์ที่กิน market share เดียวกันจะยอมหุ้นด้วยหรอ อ ไม่ใช่ไก่กาแฟนเค้าก็นักธุรกิจ

พอมาวันนี้ เปิดข้อมูลทุกอย่าง เป็นเราก็ทำแบบ อ
- ขโมยไอเดีย ขโมยลูกค้า
- ค่าใช้จ่ายในการทำธุรกิจ ตัวอย่างง่าย ๆ เงินเดือนพนักงาน มาลงแบรนด์ F แต่ทำงานให้แบรนด์ R
- เอาแบรนด์ F เป็นหนูลองยา ตัวไหนขายดี ก็อปปี้เกรด AAA ไปลงแบรนด์ R ขายไม่ดี F ก็ขาดทุนไป

ยังกล้าพูดนะว่าอยากให้ปิด F ไปเลย ก็มีแต่ได้กับได้นิ คู่แข่งหายแถม R ได้ไลน์สินค้าพร้อมลงแทน F ทันที ร้ายจริง ๆ ถ้าออมไม่ได้คนรอบข้างที่เก่งคงลำบากมาก

ผิดหวังก็แต่กับบรรดาผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายทั้งในและนอกรายการที่ไม่รู้อคติอะไรกับ อ เรื่องของธุรกิจเหลี่ยมมาก็ต้องเหลี่ยมกลับอยู่แล้ว ตัดสินกันด้วยกฎหมาย อย่าโลกสวย
ที่บอกให้พูดกล่าวกันดี ๆ ถ้าทางนั้นรู้ตัวจะมั่นใจได้ยังไงว่า ผจก จะไม่ไปร่วมกับ พ ดีด อ ออกจากแบรนด์แทน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่