ทำไมคนยังคิดว่าไปเรียนแลกเปลี่ยนแล้วเสียเวลา

เมื่อ 3 ปีก่อนเคยมาตั้งกระทู้เอาไว้ ตอนนั้น ลูกสาวอยู่มัธยมต้น แล้วไปสอบทุนโครงการแลกเปลี่ยน มีคนมาให้ความเห็น โดยส่วนหนึ่ง มีจำนวนไม่น้อยเลย บอกว่า ไปเรียนแลกเปลี่ยนแล้วเสียปีการศึกษาไป 1 ปี รวมถึง สมัยนี้ มีหลักสูตรภาษาอังกฤษ หรือ โรงเรียนนานาชาติในไทยมีคุณภาพ ในราคาที่คุ้มกว่า ไม่เสี่ยงกับปัญหาวัยรุ่นด้วย ไหนจะยังเรื่องโฮสต์ ที่มีคนเคยเจอปัญหาและกดดัน

ตอนนี้ลูกสาวไปเรียนแลกเปลี่ยนผ่านปีแรกไปเรียบร้อย นั่นคือ ม.4  หลังจากที่สอบได้ทุนสนับสนุนการศึกษาของมูลนิธิหนึ่ง  เค้าไปเรียน ไปทำกิจกรรมกับโรงเรียน เมือง และชุมชน เข้าร่วมทีมกีฬาและตอบปัญหาวิชาการ ทำคะแนนสอบได้อันดับต้นๆของโรงเรียน
ถ้าจบปีกลับมา ก็สามารถเอาผลการเรียนมาเทียบแล้วศึกษาต่อ ม.5 ได้เลย โดย สพฐ. รับรองเทียบผลการเรียนโดยไม่ต้องซ้ำชั้น

แต่ ของลูกสาว ได้รับข้อสเนอจากโรงเรียน คือ ให้ทุนการศึกษาต่อ เปลี่ยนจากนักเรียนแลกเปลี่ยนเป็นนักเรียนนานาชาติ แต่เธอต้องสอบวัดผลกลางของประเทศเค้า พร้อมทั้งยื่นแฟ้มผลงานขอทุนกับคณะกรรมการ ซึ่งในที่สุด ก็พิจารณาผ่านเรียบร้อย ได้ทุนค่ากินอยู่กับหอพักนักเรียนนานาชาติ นักเรียนแลกเปลี่ยนของโรงเรียน จ่ายค่าเทอมในส่วนลดนิดหน่อย และตอนนี้ก็ เรียนใน เกรด 11 หรือ ม.5 ต่อเลย ซึ่งจะได้เรียนต่อจนจบไฮสคูล
ทางด้านมุลนิธิที่ดูแลเรื่องแลกเปลี่ยนก็ช่วยประสาน แม้จะไม่ได้เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนแล้ว โดยคงสถานะของโรงเรียนที่ไทยเอาไว้ กลับมาไทย ก็สอบเก็บบางรายวิชาของไทยแล้วเทียบคะแนนจบโรงเรียนไทยก็ได้ด้วย

ในสมัยนี้ โครงการ และมูลนิธิต่างๆที่ทำงานเกี่ยวกับนักเรียนแลกเปลี่ยนมีเยอะมาก เยอะกว่าที่ดังๆมาหลายสิบปี ซึ่ง ผลักดันทั้งการเทียบระดับการศ฿กษากับภาครัฐ ไปจน ช่วยเหลือเมื่อเด็กมีโอกาส

ลูกสาวกลายเป็นเด็กหอเรียนที่ต่างประเทศไปเรียบร้อย ย้ายจากโฮสต์ที่เป็นครอบครัว ไปเข้าหอพักของโรงเรียน ระบบหอก็รัดกุม เป็นบ้านๆ หลังละ 7-8 คน มีครัวกลาง มีพื้นที่ซักรีดส่วนกลาง  มีเจ้าหน้าที่ดูแล และ มีอิสระมากกว่าการอยู่กับโฮสต์ (แลกกับการจัดการชีวิตที่ต้องมากขึ้น) โดยมีอาหาร 3 มื้อในวันธรรมดา (กินที่แคนทีนโรงเรียน) ส่วนวันหยุดสุดสัปดาห์ โรงเรียนมีรถบัส พาไปช็อปตามเวลาที่กำหนด (ฟรีค่ารถบัส)  ทุกคนบริหารจัดการแชร์ส่วนกลาง วันอาทิตย์ใครจะเข้าโบสถ์ก็เข้า ใครไม่เข้าจะทำกิจกรรม จะซักรีดก็ตามสะดวก

ตอนนี้ไม่ได้เจอลูกมา ปีกว่าแล้ว เค้าโตขึ้นมาก จากเด็กน้อยกลายเป็นสาวไปแล้ว ถึงจะห่วงบ้าง แต่ก็มั่นใจว่าเค้าดูแลตัวเองอยู่ได้

แผนอนาคตของชีวิตคือ เรียนให้จบ แล้ว ยื่นมหาวิทยาลัยที่โน่นเรียนต่อเลย หาทุนการศึกษาให้ได้ และทำงานพิเศษไปด้วยเรียนไปด้วย  หรือแผนสำรอง กลับมาเรียนมหาวิทยาลัยหลักสูตรนานาชาติหรือภาษาอังกฤษในไทย  ซึ่งทั้งหมดนี้ ให้เค้าคิดเอง มีหน้าที่แค่สนับสนุนกับบอกงบประมาณที่มีให้เค้าตัดสินใจเลือกเท่านั้น ซึ่งทั้งหมด โอกาสเหล่านี้มาได้เพราะ ทุนที่ไปแลกเปลี่ยนครั้งแรก  ซึ่งโครงการที่ไปแลกเปลี่ยน ตลอดปีการศึกษา ค่าใช้จ่ายก็ไม่ได้มากเพราะมีทุนสมทบจากมูลนิธิและรัฐบาลของเค้า เอาเป็นว่า จ่ายกลมๆกันราว 4 แสนบาท รวมเรียน และกินอยู่ตลอดทั้งปี

ตอนนี้ เรียนต่อเอง ก็จ่ายที่ราวๆ 3 แสนบาท เป็นค่าเทอม ส่วนค่าหอ อาหาร มีกินฟรีอยู่ฟรีตามที่ได้ทุน (แลกกับต้องทำกิจกรรมโรงเรียนเยอะ โดยเฉพาะทีมตอบคำถามวิชาการ) ค่าใช้จ่ายรายเดือน ไม่ถึงหมื่นบาท (หนักไปที่ซื้อเสื้อผ้า ของใช้จุกจิกตามแบบฉบับสาวๆ)


ชีวิตเด็กหอเดือนแรก ก็ดูแล้วไม่น่าห่วง หอหญิง แยกจากส่วนหอชายไกล และ คนนอกเข้าออกหอไม่ได้เลย มีเวลาปิดประตูหอ รวมถึงเวลาปิดไฟเข้าห้องนอน (จะไปนั่งเล่นในห้องนอนก็ได้ แต่ไฟหลักจะปิด 5 ทุ่ม) รูมเมทก็เป็นสาวอิตาลี มาเรียนแลกเปลี่ยนปีนี้ปีแรก ในบ้านก็มีเด็กยุโรป เด็ฏญี่ปุ่น จากโครงการอื่นๆผสมๆกันไป บางคนก็เป็นเด็กทุนของโรงเรียน เป็นเด็กนักกีฬาของโรงเรียนที่ได้ทุนจากเมืองอื่นๆ

แล้วมันก็ไม่ได้ยากอย่างที่คิด ทั้งการสอบ และการจัดการ การใช้ชีวิต
ลูกสาวเรียนประถมโรงเรียนไทย หลักสูตรไทย สอบเข้ามัธยมต้นหลักสูตรอังกฤษได้ ไม่เคยเรียนพิเศษ ไม่เคยกวดวิชาใดๆ เป็นเด็กไทยทั่วๆไป ดูแลตัวเองไม่ค่อยได้เรือ่ง ห้องไม่เก็บ เสื้อผ้าไม่จัด  ซักเองเป็นเฉพาะกางเกงใน ตะกร้าผ้าคือตะกร้าวิเศษที่เอาเสื้อผ้าไปใส่แล้วมันจะกลับไปอยู่ในตู้ของนาง ตอนนี้ ซักเอง รีดเอง ซื้อเอง ขายเอง เก็บเองทุกอย่าง เคลียร์เสื้อผ้าขายเลหลังทุกๆ 4 เดือน

สิ่งที่รีเควสท์ให้ส่งไปคือ ผงปรุงรสและเครือ่งปรุงทำอาหารไทย เพราะส่งไปเยอะๆถูกกว่าซื้อที่นั่น นอกจากเอาไปทำกับเพื่อนในหอ นางเอาไปขายพวกคนไทยในเมืองนั้นด้วย (ลงทุน 0 บาท) ขายเค้า แล้วเค้าก็ทำมาให้กินอีกต่างหาก

ในตอนแรก ลังเล ว่าจะให้ไปหรือไม่ไปดี ลูกสาวเองก็กังวลว่าจะรอดมั้ย จะอยู่ได้มั้ย แต่ ตอนนี้ ไปไกลแล้ว ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามที่เค้าวาดฝันไว้ คงดำเนินชีวิตอยู่กันคนละฝั่งของดลกไปแบบนี้ เค้าคงไปอยู่ไหนก็ไม่รู้ แต่ก็ไปเถอะ ชีวิตของเค้าเอง
บอกตามตรงว่า การไปเรียนแลกเปลี่ยนปีแรก คือการติดปีกให้เค้า ตอนนี้ เค้าบินแล้ว เหลือแค่ บินให้ไกล ให้สูง อย่างที่เค้าต้องการ

หมายเหตุ
ภาพประกอบสร้างจากปัญญาประดิษฐ์ จากภาพจริง และเรื่องราวของลูกสาว เพื่อป้องกันความเป็นส่วนตัวของตัวเค้าและผู้เกี่ยวข้อง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่