มื้อนี้ที่เมือง 'สิง-หะ-นะ-คะ-ระ' นะคะ

ร้านนี้ ครั้งแรกแค่เดินซอกซอนผ่านซอยไปเห็นค่ะ
เมื่อครั้งแรกเกิดขึ้นก็ตามด้วยครั้งที่ 2 และที่ 3 แล้วก็ที่ 4
แต่ไม่ได้ถ่ายรูปทุกจาน, เพราะไม่ทันเพื่อน ๆ และเกรงใจ
ไม่อยากยึดจานรอถ่ายรูป อยากให้ทุกคนกินร้อน ๆ เร็ว ๆ มากกว่า
ก็เลยมีภาพอาหาร แบบที่ถ่ายเอง, แค่นี้ค่ะ










ชอบความจุ๋มจิ๋มที่จัดมาบนจานอาหาร
ชอบการสรรค์สร้างเมนูให้เป็นอาหารตาที่งดงาม, ตามควร

แต่ต้องกระซิบดัง ๆ ว่าไป 4 ครั้ง รสชาติอาหารไม่ค่อยคงเดิม
เคยถามแล้ว, คุณเจ้าของร้านตอบว่า ...สงสัยเปลี่ยนน้ำปลาค่ะ

ภายในร้านก็น่าเดินชมนะคะ
เป็นบ้านเก่าที่จัดเป็นมิวเซียม, ถ้าชอบบ้านเก่า ก็น่าชมค่ะ
หาข้อมูลได้จาก google เลยค่ะ
ชื่อร้าน Cafe’ de Museum หรือชื่อไทยว่า "บ้านเดือนฉาย"

อ้อ การจัดแสดงในบ้านหลังนี้ ค่อนข้าง อืมมมมมมมมมม ... เยอะไปสักหน่อย
ซึ่งอาจจะเพราะเปิดเป็นร้านอาหารด้วย ก็เลยแบ่งโซนลำบาก
ทำให้ต้องระวัง "มือไม้" ของเหล่าคนไปกิน

เอาว่า เดินดูเฉย ๆ ดีที่สุดค่ะ
...





ในร้าน มีประมาณ 3-4 โซนค่ะ เหมือนว่าจะปรับเปลี่ยนเรื่อย ๆ ด้วยนะคะ
เพราะบางทีก็มีการเหมาร้าน เลยเคลื่อนย้ายวิถีการจัดสถานที่, บ่อย

ด้านหน้าร้านเดินเข้าไปก็เห็นเลย มีการจัดวางโต๊ะกลางโถง
โต๊ะตามมุมบ้าน มุมห้อง และมีโต๊ะกลางแจ้ง ในสวนด้วยค่ะ
ส่วนห้องส่วนตัวก็มีโต๊ะใหญ่ ดังในภาพข้างบน
กับมีโต๊ะเล็กบ้างประปราย เผื่อว่าโต๊ะเรือนร้านไม่พอรับรอง
ก็มานั่งในบ้านที่เป็นมิวเซียมได้

ที่จริง ดิฉันไปครบทุกโซนแล้ว แต่ถ่ายรูปแค่โซนในห้องส่วนตัว
เพราะคน "มากิน" ในร้านลุกเข้าลุกออก เดินถ่ายรูปกันเยอะมาก
เลยไม่ถนัดที่จะถ่ายรูปในบรรยากาศนั้น

เอาว่า ถ้าไปสงขลาก็ไปได้นะคะ
ยิ่งมีแขกฝรั่งมังค่า (ชนชาติผิวขาว) โอเคเลยที่จะพาไปอวดค่ะ
หรือใครจะชวนกันไปเดท อาหารก็สวยงามเหมาะสมนะคะ
แบบกินสวย ๆ ในร้านสวย ๆ
แต่คงจะต้องจองล่วงหน้า เพราะบรรดาแขกบ้านแขกเมือง
รวมถึงเหล่า "ข้าราชการ" กรมนั่นนี่นู่น มากันหนาแน่นและมาเป็นกลุ่มใหญ่เชียว

ดังนั้น ถ้าไม่จอง หรือโทรจองแต่ลืมกำชับชัดเจนว่า ขอโต๊ะในมุมส่วนตัวแบบสงบ ๆ
ก็อาจจะไม่ค่อยสุขสำราญเพราะ "ผู้ใหญ่ผู้โต" เยอะค่ะ, เยอะจัด.



ส่งท้ายด้วยคำอธิบายถึงที่มาของ 'คำเขียน' ในหัวกระทู้สักหน่อยนะคะว่า...


สงขลาเป็นเมืองเก่าตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ที่ค้นพบหลักฐานชัดเจนแล้วว่า
เมืองสทิง คือ ศูนย์กลางของอาณาจักรเซี้ยะโท้ หรือเซ็กโท มานาน 7 ศตวรรษ (= 700 ปี)
จนมีชื่อเรียกต่าง ๆ นานาตามสำเนียงต่างชาติที่เข้ามาติดต่อค้าขาย
เริ่มจากชื่อ “สิงหลา” ในบันทึกปี พ.ศ.1993 - 2093 ของชาวอินเดียและอาหรับ
ที่แล่นเรือผ่านมา แล้วเห็นเกาะหนู-เกาะแมว เป็นรูปสิงห์สองตัว
จึงเรียกเมืองสทิง ว่า สิงหลา แปลว่า เมืองสิงห์
.
.
long story short แล้วกันนะคะ
.
.
สรุปว่า ขอยึดตามหลักฐานที่ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 ทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยไว้นะคะว่า

"สงขลา" เดิมชื่อ สิงหนคร อ่านว่า สิง-หะ-นะ-คะ-ระ
แต่เสียงสระอะอยู่ท้าย มลายูไม่ชอบ จึงเปลี่ยนเป็นสระอา
และชาวมลายูพูดลิ้นรัวเร็ว จึงตัด หะ และ นะ ออก เหลือ “สิง-คะ-รา”
แต่ออกเสียงเป็น ซิงคะรา หรือ สิงโครา จนเรียกเป็น ซิงกอรา Singora
แต่คนไทยเราออกเสียงตาม แล้วเพี้ยนเป็น ‘สงขลา’ ด้วยประการฉะนี้แล

อ้อ... ดิฉันเป็น "เด็กหาดใหญ่" นะคะ, ไม่ใช่ "คนสงขลา" เน้อ.อมยิ้ม16

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่