ปี 2568 วงการการเงินไทยต้องเผชิญกับข่าวที่ทั้งซับซ้อนและสะเทือนใจ เมื่อบริษัทเล็ก ๆ ที่แทบไม่มีใครรู้จักอย่าง อัลฟา ชาร์เตอร์ด เอเนอร์ยี (Alpha Chartered Energy) ซึ่งเพิ่งก่อตั้งได้ไม่กี่เดือน กลับสามารถก้าวขึ้นมาถือหุ้นของ บางจาก (Bangchak Corporation – BCP) ได้ถึง 20% ทั้งที่มีทุนจดทะเบียนเพียง 50 ล้านบาท แต่ใช้เงินลงทุนมากกว่าหลายพันล้านบาท เหตุการณ์นี้ไม่เพียงสร้างคำถามถึงความโปร่งใสในตลาดทุน แต่ยังเปิดโปงเครือข่ายอันลึกลับที่โยงใยตั้งแต่กัมพูชามาถึงไทย
เบื้องหลังชื่อบริษัทที่เพิ่งเกิดขึ้นคือเงาของ เบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ (Benjamin Mauerberger) ชายเชื้อสายยิวจากแอฟริกาใต้ ผู้มีประวัติการปั่นหุ้นในอเมริกา ยุโรป และออสเตรเลีย ก่อนจะหายตัวไปแล้วโผล่ในกัมพูชา เขามีเครื่องบินส่วนตัว หนังสือเดินทางการทูต และเรือยอชต์ชื่อ Wanderlust ที่ต่อมากลายเป็นเรือซึ่ง ทักษิณ ชินวัตร (Thaksin Shinawatra) ใช้ในการพบ อันวาร์ อิบราฮิม (Anwar Ibrahim) กลางทะเลลังกาวี
ทอม ไรท์ (Tom Wright) นักข่าวมือรางวัลซึ่งเคยเปิดโปงมหากาพย์โกงกองทุน 1MDB ของมาเลเซีย เป็นคนที่นำชื่อเบนจามินกลับมาอยู่ในสปอตไลต์อีกครั้ง เขาระบุว่าเบนจามินคือ “ล็อบบี้ยิสต์” ผู้เชื่อมต่อโลกการเมืองและโลกการเงิน ทั้งในกัมพูชาและไทย โดยมีภรรยาชาวไทย แคททาลียา บีเวอร์ (Katalia Beaver) เป็นผู้ถือหุ้นและผู้บริหารกองทุน แคปปิตอล เอเชีย อินเวสเมนต์ (Capital Asia Investments – CAI) ซึ่งเข้ามาซื้อหุ้นบางจาก ก่อนขายต่อให้กับอัลฟา ชาร์เตอร์ด
ในอีกด้านหนึ่ง มีชื่อของ ยิม เลียก (Yim Leak) ประธานธนาคาร B.I.C. และบุตรชายของ ยิม ไซ ลี (Yim Chhay Ly) รองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาของ ฮุน เซน (Hun Sen) เมื่อปี 2567 และถูกระบุว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจสีเทา ทั้งสแกม คอลเซ็นเตอร์ การพนันออนไลน์ และการฟอกเงินมหาศาลในกัมพูชา การจับมือระหว่างเบนจามินกับยิมเลียกทำให้เครือข่ายนี้ยิ่งทรงอิทธิพล
สำนักข่าว Asia Sentinel รายงานว่า กลุ่ม Chartered Group ของเบนจามินเคยพยายามซื้อหุ้นบางจากเกือบ 25% ในปี 2567 แต่ดีลต้องล้มเพราะกองทุนประกันสังคมไม่ยอมขายหุ้นให้ ทว่าไม่นานหลังจากนั้น หุ้นเหล่านี้ก็ถูกทยอยเก็บโดย Capital Asia Investments และ อัลฟา ชาร์เตอร์ด เอเนอร์ยี แทบทั้งหมด
สิ่งที่ทำให้เกิดความสงสัยมากขึ้นคือชื่อของ ณัฐกร อธิธนาวานิช (Natthakorn Athithanavanich) ประธานบอร์ด บลจ. เอ็มเอฟซี (MFC Asset Management) ปรากฏเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทแม่ อัลฟา โกลบอล (Alpha Global) ทั้งที่เขาไม่ใช่มหาเศรษฐี แต่กลับถือหุ้นทางอ้อมมูลค่าหลายพันล้านบาท รายละเอียดเหล่านี้ทำให้หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า การซื้อหุ้นครั้งนี้อาจเป็นเพียงการใช้ “นอมินี” เพื่อปกปิดตัวตนผู้ถือหุ้นตัวจริง
เรื่องทั้งหมดจึงไม่ใช่เพียงธุรกรรมการเงิน แต่คือภาพใหญ่ของการฟอกเงินข้ามชาติที่แทรกซึมเข้าสู่ตลาดหุ้นไทย กัมพูชาซึ่งเต็มไปด้วยธุรกิจใต้ดินอย่างสแกมและคอลเซ็นเตอร์ ถูกตั้งข้อสงสัยว่ากำลังใช้ตลาดทุนไทยเป็นเครื่องมือแปลงเงินผิดกฎหมายให้ดูถูกกฎหมาย หากข้อสงสัยเหล่านี้เป็นจริง นั่นหมายความว่าระบบเศรษฐกิจไทยอาจถูกใช้เป็นเครื่องซักฟอกเงินให้กับเครือข่ายอิทธิพลต่างชาติอย่างเปิดเผย
คำถามที่ยังไม่มีคำตอบคือ หน่วยงานรัฐของไทยจะสามารถสาวไปถึงเจ้าของตัวจริงได้หรือไม่ เพราะหากปล่อยปละละเลยต่อไป ตลาดหุ้นไทยอาจไม่ได้เป็นเพียงเวทีการลงทุน แต่กลายเป็นเครื่องจักรฟอกเงินของเครือข่ายการเมือง–การเงินจากกัมพูชาและพันธมิตร
---
อัลฟา ชาร์เตอร์ด เอเนอร์ยี ถือหุ้นบางจาก 20% เบื้องหลังชื่อบริษัทคือ เบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ สัมพันธ์นักโทษทักษิณ