สวัสดีครับ วันนี้ผมอยากเล่าประสบการณ์ชีวิตที่เจอมาด้วยตัวเอง มันเป็นเรื่องความรักที่เริ่มต้นด้วยความหวัง แต่ลงท้ายด้วยการถูกหลอกและถูกทำให้กลายเป็นชู้โดยไม่รู้ตัว
ผมรู้จักผู้หญิงคนนี้ช่วงปลายปี 67 ผ่านแอพเกมออนไลน์ ตอนแรกก็เล่นกันสนุก ๆ แต่คุยไปคุยมาก็ถูกคอ จนย้ายไปคุยกันทางโซเชียลและวิดีโอคอลแทบทุกวัน จนความสัมพันธ์แน่นแฟ้นขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากคุยกันสักระยะหนึ่ง เราก็ตัดสินใจคบกันจริงจังช่วงต้นปี 68 ความสัมพันธ์ก็เป็นไปตามแบบคู่รักทั่วไป คุยกันทุกวัน ดูแลกัน ลึกซึ้งเหมือนแฟนกันจริง ๆ
เขารู้มาตั้งแต่แรกว่าผมเป็นคนมีปัญหาสุขภาพอยู่แล้ว เคยผ่านเรื่องร้ายแรงเกี่ยวกับความรักมาก่อน ผมไม่ใช่คนแข็งแรงทางใจ แต่เขาก็ยังเข้ามาทำเหมือนจะเข้าใจและพร้อมดูแล ซึ่งทำให้ผมเผลอเชื่อใจเต็มที่
แต่ตั้งแต่เริ่มคบกัน ความสัมพันธ์มันไม่เคยสงบเลย เราทะเลาะกันแทบทุกวัน ส่วนใหญ่เป็นเรื่องความระแวงของผม เพราะผมรู้สึกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลจริง ๆ ซึ่งสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกผิดปกติก็มีอยู่ตลอด เขามักจะเป็นฝ่ายชวนทะเลาะเล็ก ๆ น้อย ๆ เอง แล้วพอทะเลาะกัน ผมเลือกจะเว้นระยะให้ใจเย็น แต่สิ่งที่ผมมารู้ทีหลังคือ ช่วงเวลาที่เราหยุดคุยกันเพราะทะเลาะ เขาเอาเวลาไปใช้กับ “อีกคน”
ตลอดเวลาที่คบกัน ผมเจอพิรุธซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาหายไปช่วงดึก อ้างว่างานยุ่งจนไม่ว่าง ทั้งที่ช่วงแรกไม่เคยเป็นแบบนี้ บางครั้งก็ละเมอเรียกชื่อคนอื่นซ้ำ ๆ พอถาม เขาก็ยืนยันเสมอว่า “เลิกแล้ว จบแล้ว ไม่มีอะไรอีก” ทุกครั้งเขามีคำตอบพร้อม แถไปเรื่อย ๆ ทำให้ผมดูเหมือนคนระแวงเกินเหตุ ทั้งที่จริงแล้วผมจับสัญญาณได้ถูกต้อง
จนกระทั่งเดือนกรกฎาคม 68 เขาบอกผมว่าจะไปทำงานหลายวัน ผมเชื่อเต็มที่ แต่ความจริงคือ เขาลาหยุด และใช้เวลานั้นไปอยู่กับแฟนตัวจริงที่คบกันมายาวนานเกือบสิบปี
ตอนนั้นผมถึงเข้าใจทุกอย่าง ที่ผ่านมา “ผมไม่เคยเป็นแฟนเลย” แต่เป็นเพียง ชู้ที่ถูกปิดบังความจริง เขานอกใจแฟน และทำให้ผมตกอยู่ในสถานะที่น่าสมเพชที่สุดโดยไม่รู้ตัว
สิ่งที่เจ็บกว่าคือ เมื่อผม confront เขาด้วยหลักฐาน เขายังกล้าแก้ตัว เปลี่ยนเรื่อง และทำท่าเหมือนตัวเองเป็นเหยื่อ พูดจาเหมือนถูกผมทำร้าย ทั้งที่ตลอดเวลาคือเขาโกหกมาตลอด ผลก็คือ ในสายตาคนรอบตัวเขา รวมถึงเพื่อนสนิทและแม้แต่คนในเกมออนไลน์ที่เราเล่นด้วยกัน ผมกลับถูกมองว่าเป็นฝ่ายผิด เป็นตัวร้ายที่ไปทำร้ายเขา ทั้ง ๆ ที่ผมคือผู้ถูกหักหลัง
เขาเป็นคนที่ไม่เคยรักษาสัญญาอะไรได้เลย ทุกสิ่งที่เคยตกลงกัน ไม่เคยทำจริงสักครั้ง ทำให้ผมเจ็บซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ทุกครั้งก็ยังแสดงบทเหยื่อเพื่อให้คนอื่นสงสาร
สุดท้ายผมเลือกบอกความจริงกับแฟนที่คบกับเขามานาน เพราะผมไม่อยากให้ใครถูกหลอกซ้ำอีก ผลคือความสัมพันธ์เกือบสิบปีของเขากับแฟนก็จบลงตรงนั้น จากนั้นเขาหันมาเลือกผมแทน แต่ผมไม่สามารถรับได้แล้ว เพราะสิ่งที่เหลืออยู่คือบาดแผลและความเสียใจที่ยากจะเยียวยา
สิ่งที่ทำให้ผมขมขื่นยิ่งขึ้นคือ เขาเป็นพนักงาน โรงแรมหรูระดับ 5 ดาว ริมแม่น้ำฝั่งธน โรงแรมที่ขายภาพลักษณ์ว่ามีมาตรฐานระดับโลก แต่พนักงานบางคนกลับใช้ชีวิตส่วนตัวเต็มไปด้วยการโกหกและการทำลายคนอื่น ถ้าวันหนึ่งแขกหรือลูกค้ารู้ว่าคนที่ยิ้มต้อนรับพวกเขามีพฤติกรรมส่วนตัวในลักษณะนี้ ภาพลักษณ์ขององค์กรจะยังคงหรูหราเหมือนเดิมหรือเปล่า?
ผมเล่าเรื่องนี้เพื่อเตือนว่า ความซื่อสัตย์คือหัวใจสำคัญที่สุดในทุกความสัมพันธ์ และไม่มีใครควรถูกทำให้กลายเป็นชู้โดยไม่รู้ตัวแบบผม
คบกับแฟนมาเกือบปี สุดท้ายพึ่งรู้ว่าตัวเองเป็นชู้
ผมรู้จักผู้หญิงคนนี้ช่วงปลายปี 67 ผ่านแอพเกมออนไลน์ ตอนแรกก็เล่นกันสนุก ๆ แต่คุยไปคุยมาก็ถูกคอ จนย้ายไปคุยกันทางโซเชียลและวิดีโอคอลแทบทุกวัน จนความสัมพันธ์แน่นแฟ้นขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากคุยกันสักระยะหนึ่ง เราก็ตัดสินใจคบกันจริงจังช่วงต้นปี 68 ความสัมพันธ์ก็เป็นไปตามแบบคู่รักทั่วไป คุยกันทุกวัน ดูแลกัน ลึกซึ้งเหมือนแฟนกันจริง ๆ
เขารู้มาตั้งแต่แรกว่าผมเป็นคนมีปัญหาสุขภาพอยู่แล้ว เคยผ่านเรื่องร้ายแรงเกี่ยวกับความรักมาก่อน ผมไม่ใช่คนแข็งแรงทางใจ แต่เขาก็ยังเข้ามาทำเหมือนจะเข้าใจและพร้อมดูแล ซึ่งทำให้ผมเผลอเชื่อใจเต็มที่
แต่ตั้งแต่เริ่มคบกัน ความสัมพันธ์มันไม่เคยสงบเลย เราทะเลาะกันแทบทุกวัน ส่วนใหญ่เป็นเรื่องความระแวงของผม เพราะผมรู้สึกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลจริง ๆ ซึ่งสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกผิดปกติก็มีอยู่ตลอด เขามักจะเป็นฝ่ายชวนทะเลาะเล็ก ๆ น้อย ๆ เอง แล้วพอทะเลาะกัน ผมเลือกจะเว้นระยะให้ใจเย็น แต่สิ่งที่ผมมารู้ทีหลังคือ ช่วงเวลาที่เราหยุดคุยกันเพราะทะเลาะ เขาเอาเวลาไปใช้กับ “อีกคน”
ตลอดเวลาที่คบกัน ผมเจอพิรุธซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาหายไปช่วงดึก อ้างว่างานยุ่งจนไม่ว่าง ทั้งที่ช่วงแรกไม่เคยเป็นแบบนี้ บางครั้งก็ละเมอเรียกชื่อคนอื่นซ้ำ ๆ พอถาม เขาก็ยืนยันเสมอว่า “เลิกแล้ว จบแล้ว ไม่มีอะไรอีก” ทุกครั้งเขามีคำตอบพร้อม แถไปเรื่อย ๆ ทำให้ผมดูเหมือนคนระแวงเกินเหตุ ทั้งที่จริงแล้วผมจับสัญญาณได้ถูกต้อง
จนกระทั่งเดือนกรกฎาคม 68 เขาบอกผมว่าจะไปทำงานหลายวัน ผมเชื่อเต็มที่ แต่ความจริงคือ เขาลาหยุด และใช้เวลานั้นไปอยู่กับแฟนตัวจริงที่คบกันมายาวนานเกือบสิบปี
ตอนนั้นผมถึงเข้าใจทุกอย่าง ที่ผ่านมา “ผมไม่เคยเป็นแฟนเลย” แต่เป็นเพียง ชู้ที่ถูกปิดบังความจริง เขานอกใจแฟน และทำให้ผมตกอยู่ในสถานะที่น่าสมเพชที่สุดโดยไม่รู้ตัว
สิ่งที่เจ็บกว่าคือ เมื่อผม confront เขาด้วยหลักฐาน เขายังกล้าแก้ตัว เปลี่ยนเรื่อง และทำท่าเหมือนตัวเองเป็นเหยื่อ พูดจาเหมือนถูกผมทำร้าย ทั้งที่ตลอดเวลาคือเขาโกหกมาตลอด ผลก็คือ ในสายตาคนรอบตัวเขา รวมถึงเพื่อนสนิทและแม้แต่คนในเกมออนไลน์ที่เราเล่นด้วยกัน ผมกลับถูกมองว่าเป็นฝ่ายผิด เป็นตัวร้ายที่ไปทำร้ายเขา ทั้ง ๆ ที่ผมคือผู้ถูกหักหลัง
เขาเป็นคนที่ไม่เคยรักษาสัญญาอะไรได้เลย ทุกสิ่งที่เคยตกลงกัน ไม่เคยทำจริงสักครั้ง ทำให้ผมเจ็บซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ทุกครั้งก็ยังแสดงบทเหยื่อเพื่อให้คนอื่นสงสาร
สุดท้ายผมเลือกบอกความจริงกับแฟนที่คบกับเขามานาน เพราะผมไม่อยากให้ใครถูกหลอกซ้ำอีก ผลคือความสัมพันธ์เกือบสิบปีของเขากับแฟนก็จบลงตรงนั้น จากนั้นเขาหันมาเลือกผมแทน แต่ผมไม่สามารถรับได้แล้ว เพราะสิ่งที่เหลืออยู่คือบาดแผลและความเสียใจที่ยากจะเยียวยา
สิ่งที่ทำให้ผมขมขื่นยิ่งขึ้นคือ เขาเป็นพนักงาน โรงแรมหรูระดับ 5 ดาว ริมแม่น้ำฝั่งธน โรงแรมที่ขายภาพลักษณ์ว่ามีมาตรฐานระดับโลก แต่พนักงานบางคนกลับใช้ชีวิตส่วนตัวเต็มไปด้วยการโกหกและการทำลายคนอื่น ถ้าวันหนึ่งแขกหรือลูกค้ารู้ว่าคนที่ยิ้มต้อนรับพวกเขามีพฤติกรรมส่วนตัวในลักษณะนี้ ภาพลักษณ์ขององค์กรจะยังคงหรูหราเหมือนเดิมหรือเปล่า?
ผมเล่าเรื่องนี้เพื่อเตือนว่า ความซื่อสัตย์คือหัวใจสำคัญที่สุดในทุกความสัมพันธ์ และไม่มีใครควรถูกทำให้กลายเป็นชู้โดยไม่รู้ตัวแบบผม