ดอกเบี้ยทบต้น (Compound Interest) คืออะไร?
ดอกเบี้ยทบต้น คือ ดอกเบี้ยที่ถูกคำนวณจากเงินต้นและดอกเบี้ยที่สะสมในงวดก่อนหน้า ซึ่งทำให้เงินลงทุนเติบโตอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากยอดเงินรวมในแต่ละงวดจะกลายเป็นฐานใหม่ในการคำนวณดอกเบี้ยของงวดถัดไป ส่งผลให้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นในอัตราเร่งเมื่อเวลาผ่านไป
ตัวอย่าง:
คุณฝากเงิน 100,000 บาท
สมมติว่าได้ดอกเบี้ย 5% ต่อปี
เมื่อสิ้นปีแรก เงินต้นจะกลายเป็น 105,000 บาท (เงินต้น 100,000 + ดอกเบี้ย 5,000 บาท)
เมื่อขึ้นปีที่สอง ดอกเบี้ย 5% จะถูกคำนวณจากยอด 105,000 บาท ไม่ใช่จาก 100,000 บาท ทำให้คุณได้รับดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเป็น 5,250 บาท
ยอดเงินรวมจะกลายเป็น 110,250 บาท และจะถูกนำไปคำนวณดอกเบี้ยในงวดถัดไปเรื่อย ๆ ทำให้ยอดเงินเติบโตอย่างรวดเร็ว
ความสำคัญของดอกเบี้ยทบต้น
จากการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับดอกเบี้ยทบต้น เราสามารถสรุปปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการเพิ่มพูนของผลตอบแทนได้ 3 ส่วนหลัก ได้แก่ เงินต้น ดอกเบี้ย และระยะเวลาในการลงทุน ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
1. เงินต้น
ยิ่งมีเงินต้นมากเท่าไร ดอกเบี้ยที่ได้รับก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น การลงทุนอย่างสม่ำเสมอ หรือที่เรียกว่า DCA (Dollar-Cost Averaging) จะช่วยเพิ่มโอกาสให้เงินต้นเติบโตอย่างต่อเนื่อง หากเรามีวินัยทางการเงิน จัดการรายรับ-รายจ่ายได้อย่างชัดเจน และลดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น จะช่วยให้สามารถสะสมเงินต้นและรับประโยชน์จากดอกเบี้ยทบต้นได้อย่างเต็มที่
2. ดอกเบี้ย
ดอกเบี้ยเป็นปัจจัยที่มีความเสี่ยงสูง การลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงย่อมคาดหวังผลตอบแทนที่สูงขึ้น แต่ก็มีความเสี่ยงที่จะขาดทุนเพิ่มขึ้นเช่นกัน ดังนั้นจึงควรศึกษาและเลือกสินทรัพย์อย่างรอบคอบ เพื่อให้ดอกเบี้ยทบต้นทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด นอกจากนี้ การปรับพอร์ตการลงทุนอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้สามารถปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ได้ทันท่วงที
3. ระยะเวลาในการลงทุน
ระยะเวลาเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างผลตอบแทน ยิ่งเราเริ่มต้นลงทุนเร็วเท่าไร เงินลงทุนก็จะยิ่งมีโอกาสเติบโตและทบต้นได้ยาวนานขึ้น ซึ่งจะช่วยให้สามารถบรรลุเป้าหมายทางการเงินได้เร็วขึ้น
ดอกเบี้ยทบต้นแตกต่างจากดอกเบี้ยไม่ทบต้นอย่างไร?
ดอกเบี้ยทบต้น (Compound Interest) และดอกเบี้ยไม่ทบต้น (Simple Interest) มีความแตกต่างที่สำคัญในเรื่องของการคำนวณผลตอบแทน
ดอกเบี้ยไม่ทบต้น จะคำนวณจากเงินต้นเพียงอย่างเดียว ทำให้ได้รับดอกเบี้ยจำนวนเท่ากันในทุกงวด
ดอกเบี้ยทบต้น จะนำดอกเบี้ยที่ได้รับในแต่ละงวดไปรวมกับเงินต้นเพื่อเป็นฐานในการคำนวณดอกเบี้ยในงวดถัดไป ทำให้เงินต้นเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลให้ผลตอบแทนโดยรวมสูงกว่าดอกเบี้ยไม่ทบต้นอย่างมีนัยสำคัญ
ตัวอย่างเปรียบเทียบ
สมมติว่าคุณลงทุน 100,000 บาท ด้วยอัตราดอกเบี้ย 5% ต่อปี เป็นเวลา 10 ปี
ดอกเบี้ยไม่ทบต้น: คุณจะได้รับดอกเบี้ย 5,000 บาทต่อปี (5% ของ 100,000 บาท) ซึ่งรวมเป็นเงิน 50,000 บาทใน 10 ปี ทำให้ยอดรวมเป็น 150,000 บาท
ดอกเบี้ยทบต้น: ในปีแรกคุณจะได้รับดอกเบี้ย 5,000 บาท แต่ในปีที่สอง ดอกเบี้ยจะถูกคำนวณจากเงินต้นใหม่คือ 105,000 บาท ทำให้คุณได้รับดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเป็น 5,250 บาท และจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในทุกปี เมื่อครบ 10 ปี ยอดรวมของคุณจะอยู่ที่ประมาณ 162,889 บาท ซึ่งสูงกว่าดอกเบี้ยไม่ทบต้นเกือบ 13,000 บาท
ดอกเบี้ยทบต้นคืออะไร
* กระทู้นี้สามารถใช้งานได้เฉพาะผู้ที่มี Link นี้เท่านั้นค่ะดอกเบี้ยทบต้น คือ ดอกเบี้ยที่ถูกคำนวณจากเงินต้นและดอกเบี้ยที่สะสมในงวดก่อนหน้า ซึ่งทำให้เงินลงทุนเติบโตอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากยอดเงินรวมในแต่ละงวดจะกลายเป็นฐานใหม่ในการคำนวณดอกเบี้ยของงวดถัดไป ส่งผลให้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นในอัตราเร่งเมื่อเวลาผ่านไป
ตัวอย่าง:
คุณฝากเงิน 100,000 บาท
สมมติว่าได้ดอกเบี้ย 5% ต่อปี
เมื่อสิ้นปีแรก เงินต้นจะกลายเป็น 105,000 บาท (เงินต้น 100,000 + ดอกเบี้ย 5,000 บาท)
เมื่อขึ้นปีที่สอง ดอกเบี้ย 5% จะถูกคำนวณจากยอด 105,000 บาท ไม่ใช่จาก 100,000 บาท ทำให้คุณได้รับดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเป็น 5,250 บาท
ยอดเงินรวมจะกลายเป็น 110,250 บาท และจะถูกนำไปคำนวณดอกเบี้ยในงวดถัดไปเรื่อย ๆ ทำให้ยอดเงินเติบโตอย่างรวดเร็ว
ความสำคัญของดอกเบี้ยทบต้น
จากการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับดอกเบี้ยทบต้น เราสามารถสรุปปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการเพิ่มพูนของผลตอบแทนได้ 3 ส่วนหลัก ได้แก่ เงินต้น ดอกเบี้ย และระยะเวลาในการลงทุน ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
1. เงินต้น
ยิ่งมีเงินต้นมากเท่าไร ดอกเบี้ยที่ได้รับก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น การลงทุนอย่างสม่ำเสมอ หรือที่เรียกว่า DCA (Dollar-Cost Averaging) จะช่วยเพิ่มโอกาสให้เงินต้นเติบโตอย่างต่อเนื่อง หากเรามีวินัยทางการเงิน จัดการรายรับ-รายจ่ายได้อย่างชัดเจน และลดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น จะช่วยให้สามารถสะสมเงินต้นและรับประโยชน์จากดอกเบี้ยทบต้นได้อย่างเต็มที่
2. ดอกเบี้ย
ดอกเบี้ยเป็นปัจจัยที่มีความเสี่ยงสูง การลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงย่อมคาดหวังผลตอบแทนที่สูงขึ้น แต่ก็มีความเสี่ยงที่จะขาดทุนเพิ่มขึ้นเช่นกัน ดังนั้นจึงควรศึกษาและเลือกสินทรัพย์อย่างรอบคอบ เพื่อให้ดอกเบี้ยทบต้นทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด นอกจากนี้ การปรับพอร์ตการลงทุนอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้สามารถปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ได้ทันท่วงที
3. ระยะเวลาในการลงทุน
ระยะเวลาเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างผลตอบแทน ยิ่งเราเริ่มต้นลงทุนเร็วเท่าไร เงินลงทุนก็จะยิ่งมีโอกาสเติบโตและทบต้นได้ยาวนานขึ้น ซึ่งจะช่วยให้สามารถบรรลุเป้าหมายทางการเงินได้เร็วขึ้น
ดอกเบี้ยทบต้นแตกต่างจากดอกเบี้ยไม่ทบต้นอย่างไร?
ดอกเบี้ยทบต้น (Compound Interest) และดอกเบี้ยไม่ทบต้น (Simple Interest) มีความแตกต่างที่สำคัญในเรื่องของการคำนวณผลตอบแทน
ดอกเบี้ยไม่ทบต้น จะคำนวณจากเงินต้นเพียงอย่างเดียว ทำให้ได้รับดอกเบี้ยจำนวนเท่ากันในทุกงวด
ดอกเบี้ยทบต้น จะนำดอกเบี้ยที่ได้รับในแต่ละงวดไปรวมกับเงินต้นเพื่อเป็นฐานในการคำนวณดอกเบี้ยในงวดถัดไป ทำให้เงินต้นเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลให้ผลตอบแทนโดยรวมสูงกว่าดอกเบี้ยไม่ทบต้นอย่างมีนัยสำคัญ
ตัวอย่างเปรียบเทียบ
สมมติว่าคุณลงทุน 100,000 บาท ด้วยอัตราดอกเบี้ย 5% ต่อปี เป็นเวลา 10 ปี
ดอกเบี้ยไม่ทบต้น: คุณจะได้รับดอกเบี้ย 5,000 บาทต่อปี (5% ของ 100,000 บาท) ซึ่งรวมเป็นเงิน 50,000 บาทใน 10 ปี ทำให้ยอดรวมเป็น 150,000 บาท
ดอกเบี้ยทบต้น: ในปีแรกคุณจะได้รับดอกเบี้ย 5,000 บาท แต่ในปีที่สอง ดอกเบี้ยจะถูกคำนวณจากเงินต้นใหม่คือ 105,000 บาท ทำให้คุณได้รับดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเป็น 5,250 บาท และจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในทุกปี เมื่อครบ 10 ปี ยอดรวมของคุณจะอยู่ที่ประมาณ 162,889 บาท ซึ่งสูงกว่าดอกเบี้ยไม่ทบต้นเกือบ 13,000 บาท