เคทีซี ร่วมกับ กองบังคับการปราบปรามไซเบอร์ เดินหน้ามาตรการเชิงรุก จัดเสวนา KTC FIT Talk ครั้งที่ 20 “รู้ทันภัยไซเบอร์ : ปกป้องตัวตนและเงินในโลกดิจิทัล” ชี้ กลุ่มอายุ 25-40 ปี เจอภัยไซเบอร์กว่า 70% ย้ำ ภัยคุกคามกำลังรุนแรงจากฟิชชิ่ง-คอลเซ็นเตอร์ และใช้ AI ในการโจมตีธุรกรรมการเงิน แนะ 5 วิธีป้องกันมิจฉาชีพ
พันตำรวจเอกสุริยศักดิ์ จิราวัสน์ ผู้กำกับการ 3 กองบังคับการปราบปรามฯ สังกัดกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เผยสถิติและแนวโน้มการเกิดภัยออนไลน์ว่า
คดีอาชญากรรมออนไลน์ในปัจจุบันมีความซับซ้อนและหลากหลายมากขึ้น ตั้งแต่การหลอกลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงล่อใจ การปลอมแอปพลิเคชั่นที่ดูเหมือนของจริง ไปจนถึงการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence – AI) และ Deepfake การสร้างเสียงหรือวิดีโอปลอมเพื่อหลอกให้ประชาชนเชื่อว่าเป็นเจ้าหน้าที่หรือบุคคลที่รู้จัก ส่งผลให้มีผู้เสียหายเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในทุกเพศ ทุกวัย และทุกอาชีพ
ทั้งนี้ จากข้อมูลเชิงสถิติพบว่าช่วงอายุ 25-40 ปี ประสบภัยไซเบอร์มากที่สุด 70% เป็นผู้หญิงกว่า 60% โดยช่องทางออนไลน์ที่ถูกมิจฉาชีพเข้าสวมรอยหรือแทรกแซงในธุรกรรมการเงินมากที่สุด คือ โซเชียลมีเดียประมาณ 80%
“การบังคับใช้กฎหมายเพื่อตัดวงจรอาชญากรรมออนไลน์เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ แต่ต้องเสริมด้วยมาตรการเชิงป้องกันและการสร้างความรู้ควบคู่กัน เพราะการสื่อสารเชิงรุกคือหัวใจสำคัญ ต้องเผยแพร่ข้อมูลเตือนภัยที่รวดเร็ว เข้าถึงง่ายและใช้ภาษาที่ประชาชนเข้าใจ ไม่ว่าจะผ่านสื่อสังคมออนไลน์ โทรทัศน์ วิทยุ หรือการรณรงค์ในพื้นที่จริง การแจ้งเตือนก่อนเกิดเหตุสามารถช่วยลดความสูญเสียได้มหาศาล
โดยการรับมือกับภัยออนไลน์ต้องอาศัยความร่วมมือแบบบูรณาการ ในส่วนของภาครัฐ อย่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติกำลังเร่งผลักดันกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลและกฎหมายอาชญากรรมไซเบอร์
ขณะที่สถาบันการเงินก็เริ่มแชร์รูปแบบของภัยทุจริตต่าง ๆ (Fraud Trend) ร่วมกันผ่านสมาคมธนาคารไทย และกลุ่มคณะทำงานป้องกันการทุจริต (Fraud Working Group-FWG) ส่วนภาคเอกชนด้านเทคโนโลยี เช่น ผู้ให้บริการโทรคมนาคมหรือแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ได้เข้ามามีบทบาทในการสกัดกั้นเบอร์มิจฉาชีพและเว็บไซต์ปลอม
ในขณะที่สื่อมวลชนยังสามารถช่วยเป็นแนวหน้าในการนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้องและผ่านการตรวจสอบแล้ว เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันข้อมูลแก่สังคม เมื่อทุกภาคส่วนร่วมมือกัน ทั้งการแลกเปลี่ยนข้อมูล การพัฒนามาตรการ และการสื่อสารความรู้เท่าทันภัยไซเบอร์ ก็จะช่วยสร้างเกราะป้องกันที่แข็งแรง และทำให้มิจฉาชีพเข้าถึงเหยื่อได้ยากขึ้น อย่างไรก็ตามความท้าทาย คือ การแลกเปลี่ยนข้อมูลยังไม่เป็นระบบกลาง 100% และการตอบสนองต่อภัยใหม่ ๆ ยังต้องใช้เวลาประสานงานหลายฝ่าย
นายไรวินทร์ วรวงษ์สถิตย์ ผู้บริหารสูงสุด สายงานควบคุมงานปฏิบัติการและปฏิบัติการร้านค้า “เคทีซี” หรือบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เผยมุมมองต่อพัฒนาการภัยไซเบอร์ว่า ภัยการเงินที่พบมากในอดีตคือการขโมยบัตรเครดิตหรือหมายเลขบัตร ต่อมาพัฒนาเป็นฟิชชิ่ง (Phishing) ผ่านอีเมล์และ SMS ที่แนบลิงก์หลอกลวง ปัจจุบันโลกออนไลน์ได้เห็นเทคโนโลยี Deepfake ทั้งเสียงและวิดีโอที่ทำให้ผู้คนเชื่อว่ากำลังติดต่อกับเจ้าหน้าที่จริง
และเมื่อเข้าสู่ยุค Generative AI ก็ยิ่งน่ากังวล เพราะสามารถสร้างข้อความ ภาพ และวิดีโอปลอมได้ทันที แม้ยังเป็นการฉ้อโกงแบบ Reactive ที่ต้องมีคนสั่งงาน แต่จุดเปลี่ยนสำคัญคือการมาถึงของ Agentic AI ที่สามารถคิด วางแผนและโจมตีได้เองแบบเรียลไทม์ ตัวอย่างเช่น ‘Shop Smart Agent’ ที่เปิดร้านค้าออนไลน์ปลอม หลอกเก็บข้อมูลบัตรเครดิต ก่อนนำไปใช้ทำธุรกรรมอัตโนมัติในหลายประเทศ สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่าภัยการเงินกำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว
“ข้อมูลล่าสุดพบว่ากว่า 86% ของความเสียหายจากภัยไซเบอร์มาจาก Data Compromise โดยข้อมูลบัตรถูกนำไปใช้ทำธุรกรรมที่ต่างประเทศ ขณะเดียวกันกลโกงแบบเดิมอย่างแก๊งคอลเซ็นเตอร์หรือ SMS ปลอมก็ยังคงระบาดอย่างต่อเนื่อง
โดยหลอกเหยื่อให้โอนเงินเข้าบัญชี รวมไปถึงการหลอกลวงให้มีการลงทุน ผ่านการแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐและธนาคาร
จุดที่น่าห่วงที่สุดคือ ข้อมูลส่วนตัวของผู้บริโภค โดยเฉพาะรหัส OTP กำลังกลายเป็นอาวุธสำคัญของมิจฉาชีพ เราจึงอยากย้ำว่าทุกครั้งที่ได้รับข้อความแปลก ๆ ต้องหยุดตรวจสอบก่อนทันที ไม่ควรรีบกดลิงก์หรือให้ข้อมูลโดยไม่ยืนยัน แนวทางป้องกันที่สามารถทำได้ทันทีคือ การไม่เปิดเผยรหัส CVV และ OTP ให้กับผู้ใดเด็ดขาด การตั้งวงเงินผ่าน Mobile Banking การเปิดการแจ้งเตือนทุกธุรกรรม รวมถึงเลือกใช้บัตรเครดิตเคทีซี ดิจิทัล (KTC Digital Card) ที่มี Dynamic CVV เพื่อความปลอดภัยสูงสุดของธุรกรรมทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เพราะหากเผลอคลิกลิงก์หรือกรอกข้อมูลไปแล้ว ต้องรีบอายัดบัตรและเปลี่ยนรหัสผ่านทันที
ทั้งนี้ ธนาคารจะไม่มีการส่งลิงก์แนบใน SMS เพื่อให้กรอกข้อมูลส่วนตัวอย่างเด็ดขาด หากพบข้อความลักษณะดังกล่าวต้องติดต่อ Call Center โดยตรงเพื่อยืนยันความถูกต้อง
“ในส่วนของเคทีซีเรามีมาตรการเฝ้าระวังทุกธุรกรรมตลอด 24 ชั่วโมง แบบเรียลไทม์ผ่านแอปพลิเคชั่น KTC Mobile และหากพบธุรกรรมที่เสี่ยง เจ้าหน้าที่จะโทรศัพท์ยืนยันกับลูกค้าโดยตรง นอกจากนี้ เรายังสร้างสื่อความรู้ผ่านโซเชียลมีเดีย เช่น TikTok, Facebook และช่องทางออนไลน์อื่น ๆ และ LINE OA เพื่อเตือนภัยและสร้างภูมิคุ้มกันให้ประชาชน เคทีซีมุ่งมั่นดูแลความปลอดภัยทางการเงินของลูกค้าอย่างรอบด้านให้มากที่สุด
โดยได้รับการยืนยันด้วยรางวัลระดับภูมิภาค เช่น รางวัลความปลอดภัยทางการเงินระดับเอเชีย-แปซิฟิก (Champion Security Award, Best in Class Performance (Thailand) จากวีซ่า ซึ่งสะท้อนความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีทางการเงินที่มีการบริหารจัดการความเสี่ยงและการรักษาความปลอดภัยข้อมูลตามมาตรฐานสากล เพื่อให้สมาชิกเคทีซีมั่นใจได้ว่าทุกธุรกรรมดิจิทัลมีความปลอดภัย
นายนพรัตน์ สุริยา ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายป้องกันทุจริตบัตรเครดิตและร้านค้า “เคทีซี” กล่าวเสริมว่า เคทีซีได้ทำงานใกล้ชิดกับกองบังคับการปราบปรามฯ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยล่าสุดได้ร่วมแจ้งเบาะแสเพื่อสกัดกั้นการกระทำอันทุจริตของแก๊งปลอมบัตรเครดิต เพื่อยับยั้งความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับสมาชิกและสังคม นอกจากนี้ สิ่งที่อยากฝากถึงสังคมคือ ครอบครัวควรมีบทบาทร่วมกันในการช่วยดูแลธุรกรรมของผู้สูงวัย ซึ่งมีความเปราะบางและมักตกเป็นเป้าหมายของมิจฉาชีพ โดยมีข้อแนะนำดังนี้
1. ควรหมั่นพูดคุยให้คำแนะนำด้านความปลอดภัย
2. ตรวจสอบ SMS หรือการแจ้งเตือนธุรกรรมอย่างสม่ำเสมอ
3. ตั้งวงเงินจำกัดในการใช้บัตรเพื่อป้องกันความเสียหาย
4. ติดตั้งแอปที่ช่วยกรองเบอร์โทรศัพท์ที่เป็นสแปม เช่น Whoscall และ
5. อัปเดตข่าวสารเกี่ยวกับภัยไซเบอร์ใหม่ ๆ อยู่เสมอ เพื่อให้ผู้สูงวัยรู้เท่าทัน ไม่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพออนไลน์
ทั้งนี้ หากสมาชิกเคทีซีได้รับข้อความ อีเมล์ หรือหมายเลขโทรศัพท์ที่น่าสงสัย สามารถตรวจสอบและแจ้งเรื่องได้ตลอด 24 ชั่วโมง ผ่าน KTC PHONE 02 123 5000 หรือ Line@KTC_Card รวมถึงช่องทางออนไลน์ของเคทีซีทุกช่องทาง ซึ่งได้รับการพัฒนาให้สะดวกและเข้าถึงง่าย เพื่อสร้างความมั่นใจและความปลอดภัยในการทำธุรกรรมของสมาชิกทุกครั้ง...
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ :
https://www.prachachat.net/finance/news-1881017
เคทีซี เปิดสถิติคนอายุ 25-40 ปี เจอภัยไซเบอร์สูง 70% แนะ 5 วิธีป้องกันมิจฉาชีพ
พันตำรวจเอกสุริยศักดิ์ จิราวัสน์ ผู้กำกับการ 3 กองบังคับการปราบปรามฯ สังกัดกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เผยสถิติและแนวโน้มการเกิดภัยออนไลน์ว่า คดีอาชญากรรมออนไลน์ในปัจจุบันมีความซับซ้อนและหลากหลายมากขึ้น ตั้งแต่การหลอกลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงล่อใจ การปลอมแอปพลิเคชั่นที่ดูเหมือนของจริง ไปจนถึงการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence – AI) และ Deepfake การสร้างเสียงหรือวิดีโอปลอมเพื่อหลอกให้ประชาชนเชื่อว่าเป็นเจ้าหน้าที่หรือบุคคลที่รู้จัก ส่งผลให้มีผู้เสียหายเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในทุกเพศ ทุกวัย และทุกอาชีพ
ทั้งนี้ จากข้อมูลเชิงสถิติพบว่าช่วงอายุ 25-40 ปี ประสบภัยไซเบอร์มากที่สุด 70% เป็นผู้หญิงกว่า 60% โดยช่องทางออนไลน์ที่ถูกมิจฉาชีพเข้าสวมรอยหรือแทรกแซงในธุรกรรมการเงินมากที่สุด คือ โซเชียลมีเดียประมาณ 80%
“การบังคับใช้กฎหมายเพื่อตัดวงจรอาชญากรรมออนไลน์เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ แต่ต้องเสริมด้วยมาตรการเชิงป้องกันและการสร้างความรู้ควบคู่กัน เพราะการสื่อสารเชิงรุกคือหัวใจสำคัญ ต้องเผยแพร่ข้อมูลเตือนภัยที่รวดเร็ว เข้าถึงง่ายและใช้ภาษาที่ประชาชนเข้าใจ ไม่ว่าจะผ่านสื่อสังคมออนไลน์ โทรทัศน์ วิทยุ หรือการรณรงค์ในพื้นที่จริง การแจ้งเตือนก่อนเกิดเหตุสามารถช่วยลดความสูญเสียได้มหาศาล
โดยการรับมือกับภัยออนไลน์ต้องอาศัยความร่วมมือแบบบูรณาการ ในส่วนของภาครัฐ อย่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติกำลังเร่งผลักดันกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลและกฎหมายอาชญากรรมไซเบอร์
ขณะที่สถาบันการเงินก็เริ่มแชร์รูปแบบของภัยทุจริตต่าง ๆ (Fraud Trend) ร่วมกันผ่านสมาคมธนาคารไทย และกลุ่มคณะทำงานป้องกันการทุจริต (Fraud Working Group-FWG) ส่วนภาคเอกชนด้านเทคโนโลยี เช่น ผู้ให้บริการโทรคมนาคมหรือแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ได้เข้ามามีบทบาทในการสกัดกั้นเบอร์มิจฉาชีพและเว็บไซต์ปลอม
ในขณะที่สื่อมวลชนยังสามารถช่วยเป็นแนวหน้าในการนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้องและผ่านการตรวจสอบแล้ว เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันข้อมูลแก่สังคม เมื่อทุกภาคส่วนร่วมมือกัน ทั้งการแลกเปลี่ยนข้อมูล การพัฒนามาตรการ และการสื่อสารความรู้เท่าทันภัยไซเบอร์ ก็จะช่วยสร้างเกราะป้องกันที่แข็งแรง และทำให้มิจฉาชีพเข้าถึงเหยื่อได้ยากขึ้น อย่างไรก็ตามความท้าทาย คือ การแลกเปลี่ยนข้อมูลยังไม่เป็นระบบกลาง 100% และการตอบสนองต่อภัยใหม่ ๆ ยังต้องใช้เวลาประสานงานหลายฝ่าย
นายไรวินทร์ วรวงษ์สถิตย์ ผู้บริหารสูงสุด สายงานควบคุมงานปฏิบัติการและปฏิบัติการร้านค้า “เคทีซี” หรือบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เผยมุมมองต่อพัฒนาการภัยไซเบอร์ว่า ภัยการเงินที่พบมากในอดีตคือการขโมยบัตรเครดิตหรือหมายเลขบัตร ต่อมาพัฒนาเป็นฟิชชิ่ง (Phishing) ผ่านอีเมล์และ SMS ที่แนบลิงก์หลอกลวง ปัจจุบันโลกออนไลน์ได้เห็นเทคโนโลยี Deepfake ทั้งเสียงและวิดีโอที่ทำให้ผู้คนเชื่อว่ากำลังติดต่อกับเจ้าหน้าที่จริง
และเมื่อเข้าสู่ยุค Generative AI ก็ยิ่งน่ากังวล เพราะสามารถสร้างข้อความ ภาพ และวิดีโอปลอมได้ทันที แม้ยังเป็นการฉ้อโกงแบบ Reactive ที่ต้องมีคนสั่งงาน แต่จุดเปลี่ยนสำคัญคือการมาถึงของ Agentic AI ที่สามารถคิด วางแผนและโจมตีได้เองแบบเรียลไทม์ ตัวอย่างเช่น ‘Shop Smart Agent’ ที่เปิดร้านค้าออนไลน์ปลอม หลอกเก็บข้อมูลบัตรเครดิต ก่อนนำไปใช้ทำธุรกรรมอัตโนมัติในหลายประเทศ สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่าภัยการเงินกำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว
“ข้อมูลล่าสุดพบว่ากว่า 86% ของความเสียหายจากภัยไซเบอร์มาจาก Data Compromise โดยข้อมูลบัตรถูกนำไปใช้ทำธุรกรรมที่ต่างประเทศ ขณะเดียวกันกลโกงแบบเดิมอย่างแก๊งคอลเซ็นเตอร์หรือ SMS ปลอมก็ยังคงระบาดอย่างต่อเนื่อง
โดยหลอกเหยื่อให้โอนเงินเข้าบัญชี รวมไปถึงการหลอกลวงให้มีการลงทุน ผ่านการแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐและธนาคาร
จุดที่น่าห่วงที่สุดคือ ข้อมูลส่วนตัวของผู้บริโภค โดยเฉพาะรหัส OTP กำลังกลายเป็นอาวุธสำคัญของมิจฉาชีพ เราจึงอยากย้ำว่าทุกครั้งที่ได้รับข้อความแปลก ๆ ต้องหยุดตรวจสอบก่อนทันที ไม่ควรรีบกดลิงก์หรือให้ข้อมูลโดยไม่ยืนยัน แนวทางป้องกันที่สามารถทำได้ทันทีคือ การไม่เปิดเผยรหัส CVV และ OTP ให้กับผู้ใดเด็ดขาด การตั้งวงเงินผ่าน Mobile Banking การเปิดการแจ้งเตือนทุกธุรกรรม รวมถึงเลือกใช้บัตรเครดิตเคทีซี ดิจิทัล (KTC Digital Card) ที่มี Dynamic CVV เพื่อความปลอดภัยสูงสุดของธุรกรรมทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เพราะหากเผลอคลิกลิงก์หรือกรอกข้อมูลไปแล้ว ต้องรีบอายัดบัตรและเปลี่ยนรหัสผ่านทันที
ทั้งนี้ ธนาคารจะไม่มีการส่งลิงก์แนบใน SMS เพื่อให้กรอกข้อมูลส่วนตัวอย่างเด็ดขาด หากพบข้อความลักษณะดังกล่าวต้องติดต่อ Call Center โดยตรงเพื่อยืนยันความถูกต้อง
“ในส่วนของเคทีซีเรามีมาตรการเฝ้าระวังทุกธุรกรรมตลอด 24 ชั่วโมง แบบเรียลไทม์ผ่านแอปพลิเคชั่น KTC Mobile และหากพบธุรกรรมที่เสี่ยง เจ้าหน้าที่จะโทรศัพท์ยืนยันกับลูกค้าโดยตรง นอกจากนี้ เรายังสร้างสื่อความรู้ผ่านโซเชียลมีเดีย เช่น TikTok, Facebook และช่องทางออนไลน์อื่น ๆ และ LINE OA เพื่อเตือนภัยและสร้างภูมิคุ้มกันให้ประชาชน เคทีซีมุ่งมั่นดูแลความปลอดภัยทางการเงินของลูกค้าอย่างรอบด้านให้มากที่สุด
โดยได้รับการยืนยันด้วยรางวัลระดับภูมิภาค เช่น รางวัลความปลอดภัยทางการเงินระดับเอเชีย-แปซิฟิก (Champion Security Award, Best in Class Performance (Thailand) จากวีซ่า ซึ่งสะท้อนความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีทางการเงินที่มีการบริหารจัดการความเสี่ยงและการรักษาความปลอดภัยข้อมูลตามมาตรฐานสากล เพื่อให้สมาชิกเคทีซีมั่นใจได้ว่าทุกธุรกรรมดิจิทัลมีความปลอดภัย
นายนพรัตน์ สุริยา ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายป้องกันทุจริตบัตรเครดิตและร้านค้า “เคทีซี” กล่าวเสริมว่า เคทีซีได้ทำงานใกล้ชิดกับกองบังคับการปราบปรามฯ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยล่าสุดได้ร่วมแจ้งเบาะแสเพื่อสกัดกั้นการกระทำอันทุจริตของแก๊งปลอมบัตรเครดิต เพื่อยับยั้งความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับสมาชิกและสังคม นอกจากนี้ สิ่งที่อยากฝากถึงสังคมคือ ครอบครัวควรมีบทบาทร่วมกันในการช่วยดูแลธุรกรรมของผู้สูงวัย ซึ่งมีความเปราะบางและมักตกเป็นเป้าหมายของมิจฉาชีพ โดยมีข้อแนะนำดังนี้
1. ควรหมั่นพูดคุยให้คำแนะนำด้านความปลอดภัย
2. ตรวจสอบ SMS หรือการแจ้งเตือนธุรกรรมอย่างสม่ำเสมอ
3. ตั้งวงเงินจำกัดในการใช้บัตรเพื่อป้องกันความเสียหาย
4. ติดตั้งแอปที่ช่วยกรองเบอร์โทรศัพท์ที่เป็นสแปม เช่น Whoscall และ
5. อัปเดตข่าวสารเกี่ยวกับภัยไซเบอร์ใหม่ ๆ อยู่เสมอ เพื่อให้ผู้สูงวัยรู้เท่าทัน ไม่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพออนไลน์
ทั้งนี้ หากสมาชิกเคทีซีได้รับข้อความ อีเมล์ หรือหมายเลขโทรศัพท์ที่น่าสงสัย สามารถตรวจสอบและแจ้งเรื่องได้ตลอด 24 ชั่วโมง ผ่าน KTC PHONE 02 123 5000 หรือ Line@KTC_Card รวมถึงช่องทางออนไลน์ของเคทีซีทุกช่องทาง ซึ่งได้รับการพัฒนาให้สะดวกและเข้าถึงง่าย เพื่อสร้างความมั่นใจและความปลอดภัยในการทำธุรกรรมของสมาชิกทุกครั้ง...
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.prachachat.net/finance/news-1881017