"ครั้งหนึ่งขณะที่พระพุทธเจ้าประทับ
ที่บุพพารามใกล้กรุงสาวัตถี มีพราหมณ์
คนหนึ่งชื่อคณกโมคคัลลานะ กราบทูลถามว่า
"พระโคดมผู้เจริญ การเรียนวิชาต่างๆ
ในทางโลก มีการจัดทําหลักสูตรเนื้อหา
การเรียนเป็นลําดับ ขั้นตอน
อาทิจากขั้นที่หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก เป็นต้น
ในพระธรรมวินัยของพระองค์
สามารถจัดทําหลักสูตร เนื้อหาการเรียนเป็นลําดับขั้นตอนได้หรือไม่ พระเจ้าข้า”
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
“ได้เช่นกัน เปรียบเหมือนผู้เชี่ยวชาญการฝึกม้า ได้ม้าที่อาจฝึกได้มาตัวหนึ่งแล้ว...ขั้นแรก
ก็ย่อมจะฝึกม้าให้รู้จักการรับสวมบังเหียนก่อน
แล้วจึงค่อยฝึกอย่างอื่น เป็นลําดับไป
>>>การที่ตถาคต จะฝึกอบรมภิกษุ ก็เช่นเดียวกัน
ขั้นแรก ย่อมแนะนําก่อนว่า...
เธอจงเป็นผู้มีศีลสํารวมดีในปาติโมกข์
ถึงพร้อมด้วยมรรยาทและโคจร มีปกติเห็นภัยแม้ในโทษที่เล็กน้อย
ครั้นภิกษุนั้นเป็นผู้มีศีลดีแล้ว...ตถาคตย่อมแนะนํา ให้ยิ่งขึ้นไปว่า...
เธอจงเป็นผู้สํารวมในอินทรีย์ทั้งหก คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ระมัดระวังไว้ไม่ให้เผลอ ไปตามอารมณ์
ครั้นภิกษุเป็นผู้สํารวมอินทรีย์ดีแล้ว...
ตถาคต ย่อมแนะนําให้ยิ่งขึ้นไปว่า เธอจงเป็นผู้รู้ประมาณในอาหาร จงพิจารณา โดยแยบ
คายแล้วจึงฉัน ไม่ฉันอาหารเพื่อเล่นมัวเมา แต่ฉันอาหารเพียงเพื่อให้กายนี้ตั้งอยู่ได้
เพื่ออนุเคราะห์ให้มีกำลังปฏิบัติธรรมต่อไปได้เท่านั้น
ครั้นภิกษุเป็นผู้รู้ประมาณในอาหารดีแล้ว...
ตถาคต ย่อมแนะนําให้ยิ่งขึ้นไปว่า เธอจงประกอบความเพียรในการมีสติอยู่เนืองๆ
เพื่อเป็นเครื่องตื่น และรู้รอบคอบในอิริยาบถต่างๆ
ครั้นภิกษุเป็นผู้ประกอบความเพียร
ในการมีสติอยู่เนืองๆ ดีแล้ว...ตถาคตย่อม
แนะนําให้ยิ่งขึ้นไปว่า...เธอจงหมั่นบําเพ็ญสมาธิภาวนา คอยชําระจิตให้บริสุทธิ์ และออกจากกาม และอกุศลทั้งหลาย
ครั้นภิกษุเป็นผู้บําเพ็ญสมาธิภาวนาดีแล้ว...
ตถาคต ย่อมแนะนําให้ยิ่งขึ้นไป เพื่อให้ภิกษุนั้นบรรลุฌานที่หนึ่ง ถึงฌานที่สี่ไปโดยลําดับ
อันจะเป็นบาทฐาน
ให้บรรลุมรรคผล สิ้นอาสวะทั้งหลายในที่สุด”
คณกโมคคัลลานะกราบทูลถามว่า
"เมื่อพระองค์สอนสาวกของพระองค์ตามลําดับ ขั้นตอนเช่นนี้แล้ว สาวกเหล่านั้นยินดี และปฏิบัติตามจนสําเร็จ เป็นพระอรหันต์หมดทุกรูปหรือไม่ หรือว่าบางรูป ก็ไม่ยินดี หรือไม่ปฏิบัติตาม”
พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า
“บางรูป ก็ยินดีและปฏิบัติตาม และบางรูป
ก็ไม่ยินดี หรือไม่ปฏิบัติตาม”
คณกโมคคัลลานะกราบทูลถามต่อไปอีกว่า
“เหตุใดจึงแตกต่างกันเช่นนั้นเล่า
ในเมื่อพระนิพพานก็มีอยู่จริง ทางดําเนินไปถึงพระนิพพานก็มีอยู่จริง และพระองค์ผู้สามารถแนะนําทาง ดําเนินไปพระนิพพาน ก็มีพร้อมอยู่”่
พระพุทธเจ้าตรัสย้อนถามว่า
“ท่านรู้จักทางไปกรุงราชคฤห์หรือไม่ ?"
คณกโมคคัลลานะกราบทูลตอบว่า
“ข้าพระองค์รู้จักเป็นอย่างดีพระเจ้าข้า ”
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
“มีผู้ประสงค์จะไปกรุงราชคฤห์ จึงมาขอ
ให้ท่าน ช่วยแนะนําทาง ท่านได้แนะนําเขา
ไปว่า ทางนี้ไปกรุงราชคฤห์ บอกให้เขาเดินทางไปตามทางนี้
ระยะหนึ่งจะถึงหมู่บ้านชื่อนั้น เดินทางต่อไปอีก ก็จะถึงชุมชนใหญ่ ถึงสวน ถึงป่า ถึงแอ่งนํ้าขนาดใหญ่ และถึงกรุงราชคฤห์โดยลําดับ
ผู้นั้นรับคําแนะนําแล้ว...กลับเปลี่ยนใจ
ไม่เดินทางไป หรือเดินทางไปยังทิศทางอื่น
ซึ่งผิดทาง จึงไม่ถึงกรุงราชคฤห์ ในขณะที่มีอีกคนหนึ่ง มาขอให้ท่านช่วยแนะนําทางไป กรุงราชคฤห์ เช่นกัน และท่านก็แนะนําเขาอย่างเดียวกันกับที่แนะนําคนก่อน
ผู้นั้นเดินทางไปตามทางที่ท่านแนะนํา
และถึงกรุงราชคฤห์โดยสวัสดี เหตุใดจึงแตกต่างกันเช่นนั้นเล่า ในเมื่อกรุงราชคฤห์ ก็ตั้งอยู่อย่างเดิม ทางดําเนินไปถึงกรุงราชคฤห์ ก็มีอยู่
ท่านผู้สามารถแนะนําทาง ก็แนะนําทางให้แล้ว
แต่ไฉนคนหนึ่งไปไม่ถึง อีกคนหนึ่งไปถึงเล่า?”
คณกโมคคัลลานะกราบทูลตอบว่า
“จะทําอย่างไรได้
ข้าพระองค์ก็เป็นเพียงผู้บอกทางให้เท่านั้น”
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
“ฉันใดก็ฉันนั้น พระนิพพานมีอยู่จริง
ทางดําเนินไปถึงพระนิพพาน มีอยู่จริง
และตถาคตผู้แนะนําพรํ่าสอน ก็ได้แนะนํา
พรํ่าสอนอยู่ เพื่อบอกทางดําเนินไปพระนิพพาน แต่บางรูป ก็ยินดีและปฏิบัติตาม
และบางรูป ก็ไม่ยินดี หรือไม่ปฏิบัติตาม
จะทําอย่างไรได้
ตถาคต
ก็เป็นเพียงผู้บอกทางให้เท่านั้น”
------------------------------------------------------------------
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย
อุปริปัณณาสก์เล่ม ๓ ภาค ๑, เทวทหวรรค,
คณกโมคคัลลานสูตร
พระพุทธเจ้าสอน ขั้นแรกปฏิบัติธรรม ต้องถือศีลก่อน
ที่บุพพารามใกล้กรุงสาวัตถี มีพราหมณ์
คนหนึ่งชื่อคณกโมคคัลลานะ กราบทูลถามว่า
"พระโคดมผู้เจริญ การเรียนวิชาต่างๆ
ในทางโลก มีการจัดทําหลักสูตรเนื้อหา
การเรียนเป็นลําดับ ขั้นตอน
อาทิจากขั้นที่หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก เป็นต้น
ในพระธรรมวินัยของพระองค์
สามารถจัดทําหลักสูตร เนื้อหาการเรียนเป็นลําดับขั้นตอนได้หรือไม่ พระเจ้าข้า”
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
“ได้เช่นกัน เปรียบเหมือนผู้เชี่ยวชาญการฝึกม้า ได้ม้าที่อาจฝึกได้มาตัวหนึ่งแล้ว...ขั้นแรก
ก็ย่อมจะฝึกม้าให้รู้จักการรับสวมบังเหียนก่อน
แล้วจึงค่อยฝึกอย่างอื่น เป็นลําดับไป
>>>การที่ตถาคต จะฝึกอบรมภิกษุ ก็เช่นเดียวกัน
ขั้นแรก ย่อมแนะนําก่อนว่า...
เธอจงเป็นผู้มีศีลสํารวมดีในปาติโมกข์
ถึงพร้อมด้วยมรรยาทและโคจร มีปกติเห็นภัยแม้ในโทษที่เล็กน้อย
ครั้นภิกษุนั้นเป็นผู้มีศีลดีแล้ว...ตถาคตย่อมแนะนํา ให้ยิ่งขึ้นไปว่า...
เธอจงเป็นผู้สํารวมในอินทรีย์ทั้งหก คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ระมัดระวังไว้ไม่ให้เผลอ ไปตามอารมณ์
ครั้นภิกษุเป็นผู้สํารวมอินทรีย์ดีแล้ว...
ตถาคต ย่อมแนะนําให้ยิ่งขึ้นไปว่า เธอจงเป็นผู้รู้ประมาณในอาหาร จงพิจารณา โดยแยบ
คายแล้วจึงฉัน ไม่ฉันอาหารเพื่อเล่นมัวเมา แต่ฉันอาหารเพียงเพื่อให้กายนี้ตั้งอยู่ได้
เพื่ออนุเคราะห์ให้มีกำลังปฏิบัติธรรมต่อไปได้เท่านั้น
ครั้นภิกษุเป็นผู้รู้ประมาณในอาหารดีแล้ว...
ตถาคต ย่อมแนะนําให้ยิ่งขึ้นไปว่า เธอจงประกอบความเพียรในการมีสติอยู่เนืองๆ
เพื่อเป็นเครื่องตื่น และรู้รอบคอบในอิริยาบถต่างๆ
ครั้นภิกษุเป็นผู้ประกอบความเพียร
ในการมีสติอยู่เนืองๆ ดีแล้ว...ตถาคตย่อม
แนะนําให้ยิ่งขึ้นไปว่า...เธอจงหมั่นบําเพ็ญสมาธิภาวนา คอยชําระจิตให้บริสุทธิ์ และออกจากกาม และอกุศลทั้งหลาย
ครั้นภิกษุเป็นผู้บําเพ็ญสมาธิภาวนาดีแล้ว...
ตถาคต ย่อมแนะนําให้ยิ่งขึ้นไป เพื่อให้ภิกษุนั้นบรรลุฌานที่หนึ่ง ถึงฌานที่สี่ไปโดยลําดับ
อันจะเป็นบาทฐาน
ให้บรรลุมรรคผล สิ้นอาสวะทั้งหลายในที่สุด”
คณกโมคคัลลานะกราบทูลถามว่า
"เมื่อพระองค์สอนสาวกของพระองค์ตามลําดับ ขั้นตอนเช่นนี้แล้ว สาวกเหล่านั้นยินดี และปฏิบัติตามจนสําเร็จ เป็นพระอรหันต์หมดทุกรูปหรือไม่ หรือว่าบางรูป ก็ไม่ยินดี หรือไม่ปฏิบัติตาม”
พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า
“บางรูป ก็ยินดีและปฏิบัติตาม และบางรูป
ก็ไม่ยินดี หรือไม่ปฏิบัติตาม”
คณกโมคคัลลานะกราบทูลถามต่อไปอีกว่า
“เหตุใดจึงแตกต่างกันเช่นนั้นเล่า
ในเมื่อพระนิพพานก็มีอยู่จริง ทางดําเนินไปถึงพระนิพพานก็มีอยู่จริง และพระองค์ผู้สามารถแนะนําทาง ดําเนินไปพระนิพพาน ก็มีพร้อมอยู่”่
พระพุทธเจ้าตรัสย้อนถามว่า
“ท่านรู้จักทางไปกรุงราชคฤห์หรือไม่ ?"
คณกโมคคัลลานะกราบทูลตอบว่า
“ข้าพระองค์รู้จักเป็นอย่างดีพระเจ้าข้า ”
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
“มีผู้ประสงค์จะไปกรุงราชคฤห์ จึงมาขอ
ให้ท่าน ช่วยแนะนําทาง ท่านได้แนะนําเขา
ไปว่า ทางนี้ไปกรุงราชคฤห์ บอกให้เขาเดินทางไปตามทางนี้
ระยะหนึ่งจะถึงหมู่บ้านชื่อนั้น เดินทางต่อไปอีก ก็จะถึงชุมชนใหญ่ ถึงสวน ถึงป่า ถึงแอ่งนํ้าขนาดใหญ่ และถึงกรุงราชคฤห์โดยลําดับ
ผู้นั้นรับคําแนะนําแล้ว...กลับเปลี่ยนใจ
ไม่เดินทางไป หรือเดินทางไปยังทิศทางอื่น
ซึ่งผิดทาง จึงไม่ถึงกรุงราชคฤห์ ในขณะที่มีอีกคนหนึ่ง มาขอให้ท่านช่วยแนะนําทางไป กรุงราชคฤห์ เช่นกัน และท่านก็แนะนําเขาอย่างเดียวกันกับที่แนะนําคนก่อน
ผู้นั้นเดินทางไปตามทางที่ท่านแนะนํา
และถึงกรุงราชคฤห์โดยสวัสดี เหตุใดจึงแตกต่างกันเช่นนั้นเล่า ในเมื่อกรุงราชคฤห์ ก็ตั้งอยู่อย่างเดิม ทางดําเนินไปถึงกรุงราชคฤห์ ก็มีอยู่
ท่านผู้สามารถแนะนําทาง ก็แนะนําทางให้แล้ว
แต่ไฉนคนหนึ่งไปไม่ถึง อีกคนหนึ่งไปถึงเล่า?”
คณกโมคคัลลานะกราบทูลตอบว่า
“จะทําอย่างไรได้
ข้าพระองค์ก็เป็นเพียงผู้บอกทางให้เท่านั้น”
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
“ฉันใดก็ฉันนั้น พระนิพพานมีอยู่จริง
ทางดําเนินไปถึงพระนิพพาน มีอยู่จริง
และตถาคตผู้แนะนําพรํ่าสอน ก็ได้แนะนํา
พรํ่าสอนอยู่ เพื่อบอกทางดําเนินไปพระนิพพาน แต่บางรูป ก็ยินดีและปฏิบัติตาม
และบางรูป ก็ไม่ยินดี หรือไม่ปฏิบัติตาม
จะทําอย่างไรได้
ตถาคต
ก็เป็นเพียงผู้บอกทางให้เท่านั้น”
------------------------------------------------------------------
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย
อุปริปัณณาสก์เล่ม ๓ ภาค ๑, เทวทหวรรค,
คณกโมคคัลลานสูตร