?เคยสงสัยมั้ย ทำไมอาหาร ที่กดสั่งจากแอพเดลิเวอรี่ ถึงแพงกว่าที่ซื้อที่ร้าน🛵

หลายคนน่าจะมีประสบการณ์เคยกดสั่งอาหารผ่านแพลตฟอร์มเดลิเวอรี บนแอปพลิเคชั่นอย่าง Lineman, Grab หรือ Shopee Food ฯลฯ กันมาบ้าง
.
และก็เชื่อว่าจะต้องมีไม่น้อยแน่ๆ ที่สงสัยว่าทำไมราคาอาหารบนแอปเดลิเวอรีเหล่านี้ถึงดู “แพง” กว่าราคาอาหารที่หน้าร้าน ทั้งๆ ที่ทั้งคู่ก็เป็นร้านเดียวกัน ?
.
ในบทความนี้ TODAYBizview จะพามาหาคำตอบกันว่าทำไมราคาอาหารบนแอปเดลิเวอรีถึงมักจะแพงกว่าหน้าร้าน พร้อมพาไปดูวิธีคำนวณว่าถ้าเราจ่ายเงินซื้ออาหารบนแอปเดลิเวอรีแล้ว ร้านค้าจะได้เงินทั้งหมดเท่าไหร่ ?
.
สาเหตุที่อาหารบนแอปเดลิเวอรีส่วนใหญ่มีราคาสูงกว่าหน้าร้าน เพราะจริงๆ แล้ว ร้านอาหารที่ไปเปิดร้านบนแพลตฟอร์มจะโดนเรียกเก็บ “ส่วนแบ่งจากยอดขาย” ในรูปแบบของเปอร์เซ็นต์หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ “ค่า GP”
.
โดยเท่าที่อัปเดตล่าสุด สำหรับปี 2025 ค่า GP ของแอปเดลิเวอรีเจ้าใหญ่ๆ จะเป็นแบบนี้
.
- Grab เก็บค่า GP 30% จากยอดขาย (ไม่รวม VAT 7% จาก GP)
- Lineman เก็บค่า GP 30% จากยอดขาย (ไม่รวม VAT 7%  จาก GP)
.
พอมีค่า GP แบบนี้ หมายความว่าร้านอาหารที่จะมาเปิดร้านบนแอปจะต้องมีการบวกราคาขายให้พอดีกับค่า GP และ VAT 7% ตรงนี้ด้วย ถ้าอยากได้กำไรเท่ากับการขายที่หน้าร้าน
.
เพื่อให้เห็นภาพง่ายๆ มาดูวิธีคำนวณค่า GP ของแอปเดลิเวอรีกัน
.
สมมติว่าร้านอาหาร A ขายข้าวกะเพราไข่ดาวที่หน้าร้าน 60 บาท โดยราคานี้มีต้นทุนขายจริงๆ ที่ 48 บาท และกำไร 12 บาท
.
ถ้าร้านอาหาร A เลือกขายกะเพราไข่ดาวบนแอปเดลิเวอรี 60 บาทเท่าหน้าร้าน แบบนี้ร้านอาหาร A จะโดนหักค่า GP 30% เท่ากับ 18 บาท ( 60 x 30% = 18) และจะโดนหัก VAT 7% จากค่า GP เท่ากับ 1.26  บาท (18 x 7% = 1.26)
.
หมายความว่าร้านอาหาร A จะได้เงินจากการขายกะเพราไข่ดาวบนแอปทั้งหมด 40.74 บาทต่อออเดอร์ (60-18-1.26 = 40.74)
.
ซึ่งถ้าเอาตามต้นทุนขายกะเพราไข่ดาวที่สมมติไว้ข้างต้น คือจานละ 48 บาท แบบนี้ร้านอาหาร A จะขาดทุน เพราะถ้าขายบนแอปจะได้เงินแค่ 40.74 บาท  
.
พอเป็นแบบนี้ร้านอาหารหลายๆ แห่ง เลยชอบมีการตั้งราคาโดยใช้ “สูตร 1.48”
.
คือเอาราคาขายหน้าร้านไปคูณกับ 1.48 เพื่อให้ได้ราคาขายบนแอป ที่หลังหักค่า GP 30% และ VAT 7% แล้วจะมีรายได้พอๆ กับการขายที่หน้าร้าน
.
อย่างในกรณีของร้านอาหาร A ที่ขายข้าวกะเพราไข่ดาวที่หน้าร้าน 60 บาท ก็ให้เอาราคานี้ ไปคูณ 1.48 จะได้เท่ากับ 89 บาท (60 x 1.48 = 88.8)
.
แบบนี้ร้านอาหาร A จะโดนหักค่า GP 30% เท่ากับ 26.7 บาท ( 89 x 30% = 26.7) และจะโดนหัก VAT 7% จากค่า GP เท่ากับ 1.26  บาท (26.7 x 7% = 1.87)
.
หมายความว่าร้านอาหาร A จะได้เงินจากการขายกะเพราไข่ดาวบนแอปทั้งหมด 60.43 บาทต่อออเดอร์ (89 - 26.7 - 1.87 = 60.43)
.
จะเห็นได้ว่าพอใช้สูตรนี้ร้านค้า A จะได้เงินหลังหักค่า GP 30% และ VAT 7% พอๆ กับที่ขายหน้าร้านคือประมาณ 60 บาทนั่นเอง
.
อ่านถึงตรงนี้ หลายคนน่าจะเข้าใจกลไกของการคิดค่า GP บนแอปเดลิเวอรีกันมากขึ้นแล้วว่าทำไมอาหารบนแอปถึงชอบแพงกว่าหน้าร้าน
.
โดยเรายังสามารถเอาสูตร 1.48 ตรงนี้ ไปคิดย้อนกลับได้ด้วยว่าจริงๆ แล้ว ร้านค้าได้เงินจากออเดอร์ของเราไปทั้งหมดเท่าไหร่  
.
เช่น ถ้าเจอว่ากะเพราไข่ดาวขายบนแอป 89 บาท ก็ให้เอาไปหารกับ 1.48 จะได้เท่ากับ 60 บาท หรือก็คือร้านจะได้เงินจากเรา 60 บาทนั่นเอง
.
สุดท้ายนี้ ต้องเตือนไว้ก่อนว่าสูตรตรงนี้จะใช้ได้เฉพาะการคำนวณค่า GP ที่ 30% และ VAT 7% ที่คิดจาก GP ในเรตนี้เท่านั้น
.
โดยสำหรับร้านอาหารบางแห่งอาจมีการบวกราคาขายบนแอปมากกว่าการใช้สูตร 1.48 เพราะบางร้านอาจจะมีการคิดค่าโปรโมชันต่างๆ, ค่าโฆษณา รวมถึงค่าแพ็กเกจจิงเพิ่มเติม ไปในต้นทุนขายด้วย ทำให้ในบางร้านอาจจะมีการบวกราคาขึ้นไปกว่าการคำนวณด้วยวิธีนี้ได้อีก


Cr : https://www.facebook.com/share/1G7PJ1KcAC/?mibextid=wwXIfr
#TODAYBizview
#MakeTomorrowTODAY
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่