เงินบาทแข็งค่า จับตาสัปดาห์นี้ 3 ปัจจัยสำคัญ หุ้น และ ธปท. คลายเกณฑ์ป้องปรามเก็งกำไรเงินบาท

เงินบาทแข็งค่า ธนาคารกสิกรไทยคาดสัปดาห์หน้าเคลื่อนไหวในกรอบ 31.80-32.80 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จับตา 3 ปัจจัยสำคัญในสัปดาห์หน้า ทั้งปัจจัยการเมืองในประเทศ ทิศทางฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ และราคาทองคำในตลาดโลก

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย สรุปความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทว่า เงินบาทแข็งค่าตามทองคำ ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ อ่อนค่าลงจากการคาดการณ์เฟดลดดอกเบี้ย เงินบาทแข็งค่าขึ้นช่วงสั้น ๆ ต้นสัปดาห์ ก่อนจะทยอยอ่อนค่าในเวลาต่อมาเนื่องจากตลาดกลับมารอติดตามสถานการณ์การเมืองในประเทศอย่างใกล้ชิด

นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ฯ ยังแข็งค่าขึ้นตามทิศทางบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ และได้รับแรงหนุนทางอ้อมจากทิศทางที่อ่อนค่าของเงินเยนและเงินปอนด์จากปัจจัยเฉพาะของทั้ง 2 สกุลด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ดี เงินบาทฟื้นตัวกลับมาแข็งค่าขึ้น โดยได้รับอานิสงส์จากการปรับตัวขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ของราคาทองคำในตลาดโลก และแรงซื้อสุทธิหุ้นไทยของต่างชาติช่วงท้ายสัปดาห์หลังความกังวลต่อประเด็นทางการเมืองคลายตัวลงบางส่วนหลังการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่

ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ เผชิญแรงขายท่ามกลางการคาดการณ์เกี่ยวกับโอกาสการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมเดือนก.ย. นี้ หลังจากที่ข้อมูลตลาดแรงงานของสหรัฐฯ (ตัวเลขการเปิดรับสมัครงานเดือนก.ค. และตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชนเดือนส.ค.) ออกมาต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของตลาด

กรอบเงินบาทสัปดาห์นี้
ในวันศุกร์ที่ 5 ก.ย. 2568 เงินบาทปิดตลาดในประเทศที่ 32.19 บาทต่อดอลลาร์ฯ เทียบกับระดับ 32.39 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (29 ส.ค.) สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 25-29 ส.ค. 2568 นั้น นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทย 689 ล้านบาท แต่มีสถานะอยู่ในฝั่ง Net Outflows ออกจากตลาดพันธบัตรไทย 2,130 ล้านบาท (ขายสุทธิพันบัตร 1,029 ล้านบาท และตราสารหนี้หมดอายุ 1,102 ล้านบาทตามลำดับ

สำหรับระหว่างวันที่ 8-12 ก.ย. 2568 ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทที่ระดับ 31.80-32.80 บาทต่อดอลลาร์ฯ

ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ปัจจัยการเมืองในประเทศ ทิศทางฟันด์โฟลว์ของต่างชาติและราคาทองคำในตลาดโลก

ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ตัวเลขคาดการณ์เงินเฟ้อของผู้บริโภค ดัชนีราคาผู้ผลิต ดัชนีราคาผู้บริโภค เดือนส.ค. ดัชนีความเชื่อมั่นและมุมมองต่อเงินเฟ้อของผู้บริโภคเดือนก.ย. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ นอกจากนี้ ตลาดยังรอติดตามผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) และตัวเลขเศรษฐกิจของจีนในเดือนส.ค. อาทิ การส่งออก ดัชนีราคาผู้บริโภคและดัชนีราคาผู้ผลิตด้วยเช่นกัน

ส่วนความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทย ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวขึ้นจากความคาดหวังเกี่ยวกับความชัดเจนในประเด็นการเมืองในประเทศ ดัชนีหุ้นไทยดีดตัวขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นสัปดาห์ เนื่องจากนักลงทุนคลายความกังวลบางส่วนต่อประเด็นการเมืองในประเทศ (หลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้น.ส.แพทองธาร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในช่วงก่อน) โดยประเมินว่าน่าจะมีความชัดเจนเกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ภายในระยะเวลาไม่นาน ประเด็นดังกล่าวกระตุ้นให้เกิดแรงซื้อหุ้นบิ๊กแคปในหลายกลุ่ม นำโดย กลุ่มไฟแนนซ์ ค้าปลีก พลังงาน ตลอดจนปิโตรเคมีที่มีประเด็นบวกเฉพาะตัว

อย่างไรก็ดี ดัชนีหุ้นไทยย่อตัวลงช่วงสั้น ๆ ระหว่างสัปดาห์ตามแรงขายทำกำไรของต่างชาติโดยเฉพาะในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ก่อนจะดีดตัวขึ้นอีกครั้งช่วงท้ายสัปดาห์ตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยมีปัจจัยหนุนจากคาดการณ์เรื่องการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของเฟดในรอบการประชุมเดือนก.ย. นี้ ท่ามกลางสัญญาณที่อ่อนแอของตลาดแรงงานสหรัฐฯ นอกจากนี้ การโหวตนายกรัฐมนตรีคนใหม่ในช่วงท้ายสัปดาห์ก็เป็นอีกปัจจัยหนุนตลาดหุ้นไทยด้วยเช่นกัน

ในวันศุกร์ที่ 5 ก.ย. 2568 ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,264.80 จุด เพิ่มขึ้น 2.28% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 42,259.94 ล้านบาท ลดลง 9.79% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai เพิ่มขึ้น 1.40% มาปิดที่ระดับ 252.34 จุด

สำหรับสัปดาห์นี้ (8-12 ก.ย. 68) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,240 และ 1,225 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,270 และ 1,285 จุด ตามลำดับ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ประเด็นการเมืองในประเทศ รวมถึงทิศทางเงินทุนต่างชาติ

ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภคและดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนส.ค. รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ขณะที่ปัจจัยเศรษฐกิจต่างประเทศอื่น ๆ ได้แก่ การประชุม ECB ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 2/2568 และดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนส.ค. ของญี่ปุ่น ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนก.ค.ของญี่ปุ่นและอังกฤษ ตลอดจนข้อมูลเศรษฐกิจเดือนส.ค. ของจีน อาทิ ดัชนีราคาผู้บริโภคและดัชนีราคาผู้ผลิต...

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.prachachat.net/finance/news-1879142




ธปท. คลายเกณฑ์ป้องปรามเก็งกำไรเงินบาท เพิ่มสมดุลเงินทุน ลดแรงกดดันบาทแข็ง

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เผย ธปท. ผ่อนคลายเกณฑ์เกี่ยวกับตลาดอัตราแลกเปลี่ยน ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อชะลอการแข็งค่าของเงินบาทโดยตรง แต่เป็นการหนุนธุรกรรมเงินขาไหลเข้า-ออกมีความสมดุลมากขึ้น

ธปท. ผ่อนคลายเกณฑ์เกี่ยวกับตลาดอัตราแลกเปลี่ยน ทั้งในส่วนของ
1) มาตรการป้องปรามการเก็งกำไรค่าเงินบาท
และ 2) หลักเกณฑ์ควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน เพื่อให้เอกชนมีความสะดวกในการทำธุรกรรมเงินตราต่างประเทศ โดยจะเริ่มมีผล 1 ธ.ค. 2568 

•    ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า การผ่อนคลายเกณฑ์ดังกล่าวไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อชะลอการแข็งค่าของเงินบาทโดยตรง แต่เน้นเพิ่มความยืดหยุ่นในการทำธุรกรรมที่เป็น Real flows ที่มีการค้า/การลงทุน/การชำระเงินรองรับ ตามแผนพัฒนา FX ecosystem ซึ่งทำให้ธุรกรรมเงินขาไหลเข้า-ออกมีความสมดุลมากขึ้น

•    ธปท. ยังคงมาตรการส่วนอื่น ๆ ที่ช่วยลดความเสี่ยงของการเก็งกำไรค่าเงินบาทไว้ตามเดิม  ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า เงินบาทที่มีแรงกดดันด้านแข็งค่าในระยะนี้มีสาเหตุสำคัญมาจากทิศทางเงินดอลลาร์ฯ ที่อ่อน และแรงหนุนจากราคาทองคำในตลาดโลก
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมีมุมมองต่อการผ่อนคลายเกณฑ์การเก็งกำไรเงินบาท (ทั้งมาตรการจำกัดการปล่อยสภาพคล่องเงินบาท และมาตรการดูแลเงินทุนนำเข้า) ให้ NR ครั้งนี้ ดังนี้  

•    การผ่อนคลายเกณฑ์การเก็งกำไรเงินบาทให้กับ NR ข้างต้น มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างสมดุลเงินทุนเข้า-ออก เนื่องจากโครงสร้างเศรษฐกิจไทยมีการเกินดุลการชำระเงินซึ่งทำให้มีการไหลเข้าของเงินตราต่างประเทศมากกว่าการไหลออก โดยส่วนใหญ่ในช่วงที่ผ่านมา ประเทศไทยมีการเกินดุลการชำระเงินซึ่งเป็นหนึ่งในแรงกดดันที่ทำให้เงินบาทแข็งค่า

ดังนั้น การคลายเกณฑ์ครั้งนี้อาจช่วยเติมเต็มระบบนิเวศของตลาดอัตราแลกเปลี่ยน FX ecosystem ให้มีความสมบูรณ์มากขึ้น เพราะจะช่วยเสริมสร้างความสมดุลและความยืดหยุ่นให้กับธุรกรรมการเงินระหว่างประเทศ โดยเฉพาะธุรกรรมประเภท Real flows ที่มีการค้า/การลงทุน/การชำระเงินรองรับ 
 
•    ยังมีการจำกัดวงเงินและประเภทธุรกรรมที่มีผลต่อการปล่อยสภาพคล่องเงินบาทให้กับ NR ไม่ได้เปิดเต็มที่ทั้งหมด เช่น 
o    กรณีการปล่อยสินเชื่อสกุลเงินบาท แม้จะทำได้ตามยอด Underlying ในส่วนของการให้เงินกู้, การเปิด L/C, Trust Receipt, ตั๋วแลกเงินและตั๋วสัญญาใช้เงิน แต่สำหรับการให้วงเงิน OD และธุรกรรมที่ไม่มี Underlying ยังมีการจำกัดวงเงินไว้ที่ไม่เกิน 200 ล้านบาท/กลุ่ม NR  

o    ไม่สามารถให้สินเชื่อสกุลเงินบาทเกินมูลค่าการลงทุนในโครงการที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐาน/อุตสาหกรรม และหากก่อนสัญญาสินเชื่อครบกำหนดแล้วมูลค่าโครงการลงทุนฯ ลดลงโดยเหตุผลอื่นนอกเหนือการปรับตามราคาตลาด สถาบันการเงินต้องเรียกเงินบาทคืนจาก NR เพื่อไม่ให้สินเชื่อเกินกว่ามูลค่าการลงทุน

•    หากเป็นขาที่สถาบันการเงินกู้ยืมเงินบาทจาก NR จะสามารถให้ทำได้ในวงเงินไม่เกินกว่า Underlying อีกขาหนึ่งของสถาบันการเงินที่เอาสินเชื่อก้อนนั้นไปปล่อยต่อให้กับผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศ หรือ Resident หรือถ้าไม่มี Underlying ก็จะมีการจำกัดวงเงินไว้ที่ 10 ล้านบาท/กลุ่ม NR ซึ่งสะท้อนว่า ไม่อยากให้มีผลต่อความผันผวนในด้านเงินบาทแข็งค่า 

•    เป็นที่น่าสังเกตว่า ธปท. ยังคงมาตรการส่วนอื่น ๆ ที่ช่วยลดความเสี่ยงของการเก็งกำไรค่าเงินบาท ไว้ตามเดิม ไม่มีการปรับเปลี่ยน เพราะอนุญาตเฉพาะธุรกรรม Forward, Swap, Cross Currency Swap และ Options ที่มี Underlying รองรับเท่านั้น ยังไม่อนุญาตให้ทำธุรกรรมอนุพันธ์ด้านตลาดอ้างอิงราคาตราสารหนี้ (เป็นการทั่วไป) ราคา/ดัชนีราคาทองคำ รวมถึงธุรกรรมซื้อ-ขายหลักทรัพย์ที่มีสัญญาว่าจะขาย-ซื้อคืนภายหลังในลักษณะที่เป็นการปล่อยสภาพคล่องเงินบาท 

คาดว่า ในระยะสั้น การผ่อนคลายเกณฑ์ดังกล่าวอาจไม่ได้ส่งผลในการชะลอการแข็งค่าของเงินบาท หรือทำให้เงินบาทเปลี่ยนทิศกลับมาอ่อนค่า
เนื่องจากการแข็งค่าของเงินบาทยังคงเป็นผลมาจากทิศทางราคาทองคำและการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ฯ เป็นหลัก อย่างไรก็ดี การผ่อนคลายเกณฑ์ดังกล่าวจะช่วยเพิ่มความสมดุลให้กับการไหลเข้าออกของเงินทุนเคลื่อนย้ายมากขึ้น


แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่