สวัสดีครับทุกคน ผมอยากมาแชร์ประสบการณ์จริงที่เพิ่งเจอกับตัวเองสด ๆ ร้อน ๆ เผื่อจะเป็นอุทาหรณ์สำหรับ
เพื่อน ๆ มนุษย์เงินเดือนที่คิดจะลาออกจากงานในอนาคตครับ
ผมเพิ่งลาออกจากบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ทำงานมาหลายปี บริษัทมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) ซึ่งทุกคนก็รู้
กันว่าเราหักเงินสะสมของเรา และบริษัทก็สมทบเข้ามาเพิ่มให้เรา เมื่อครบเงื่อนไขตาม Vesting Schedule เราก็
มีสิทธิ์ได้รับเงินสมทบ + ผลประโยชน์ตามเปอร์เซ็นต์
กรณีของผม ตามตารางแล้ว ผมควรได้
เงินสมทบจากบริษัท 75% รวมถึงผลประโยชน์ แต่ตอนวันไปรับเช็ค
กลับได้รับแค่ “เงินสะสมของตัวเอง” เท่านั้นครับ
ผมถามฝ่ายบุคคล เขาบอกว่า “คุณไม่ปิดงาน R&D ที่ค้างอยู่” เลยไม่ดำเนินการให้ ซึ่งตรงนี้ผมมองว่า
ไม่ยุติธรรมเลย เพราะ
* งาน R&D ที่ว่าคือโปรเจกต์ต้นแบบ ไม่ได้มีผลต่อการขายจริง
* บริษัทเองก็ย้ายผมมาอยู่ฝ่ายผลิตก่อนแล้ว ทำให้ผมไม่ได้อยู่ในตำแหน่งเดิมที่จะปิดงานได้
* ต่อมาก็มีการจัด 5ส ของทุกอย่าง ทำให้งาน/อุปกรณ์เดิมไม่เหลือแล้ว
ผมเลยมองว่าบริษัท “เอาเรื่องงานมาบ่ายเบี่ยงตัดสิทธิ์กองทุน” ซึ่งไม่ถูกต้องแน่นอน เพราะเงินกองทุนเป็น
ทรัพย์สินของสมาชิก ไม่ใช่ของบริษัท
ตอนนี้ผมได้ส่งหนังสือยืนยันสิทธิ์ไปยัง บลจ. โดยตรงแล้ว และกำลังรวบรวมหลักฐาน ถ้ายังไม่ได้รับสิทธิ์เต็ม
จำนวน ผมจะดำเนินการร้องเรียนต่อ ก.ล.ต. และอาจฟ้องศาลแรงงานตามสิทธิ์ครับ
เลยอยากถามเพื่อน ๆ ใน Pantip ว่า
* มีใครเคยเจอปัญหาคล้าย ๆ กันบ้างไหมครับ?
* บลจ. จะช่วยสมาชิกมากน้อยแค่ไหน?
* มีวิธีไหนที่ทำให้บริษัทไม่กล้าบ่ายเบี่ยงสิทธิ์ลูกจ้างในอนาคตบ้าง?
แชร์ไว้เป็นอุทาหรณ์ครับ เพราะเงินกองทุนไม่ใช่น้อย ๆ เลย และมันเป็นสิทธิ์ของเราเต็ม ๆ
ใครกำลังคิดจะลาออก อย่าลืมตรวจสอบให้ชัดเจนว่าได้เงินครบทั้ง
เงินสะสม + เงินสมทบ + ผลประโยชน์
ก่อนเซ็นเอกสารใด ๆ นะครับ
____________________________________________________________________________
ข้อควรรู้ก่อนลาออก เกี่ยวกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
1. ตรวจสอบ
Vesting Schedule (เปอร์เซ็นต์สิทธิเงินสมทบ) ของตัวเองให้ชัดเจน
2. ก่อนลาออก ให้ขอ
Statement กองทุนสำรองเลี้ยงชีพล่าสุด จาก บลจ.
3. ตรวจสอบว่าเช็คที่ได้รับ ครบทั้ง
* เงินสะสมของเรา
* เงินสมทบของบริษัท (ตามสิทธิ์)
* ผลประโยชน์จากการลงทุน
4. ถ้าได้รับไม่ครบ ให้
ทำหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษรถึง บลจ. โดยตรง
5. หากไม่ได้รับการแก้ไข →
ร้องเรียนไปที่ ก.ล.ต. หรือใช้สิทธิ์ฟ้องศาลแรงงานได้
6. อย่าเซ็นเอกสาร “สละสิทธิ์” หรือ “ยอมรับตามจำนวนที่ได้” ถ้ายังไม่มั่นใจ
มนุษย์เงินเดือนลาออก ระวังไม่ได้รับเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพครบ!
เพื่อน ๆ มนุษย์เงินเดือนที่คิดจะลาออกจากงานในอนาคตครับ
ผมเพิ่งลาออกจากบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ทำงานมาหลายปี บริษัทมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) ซึ่งทุกคนก็รู้
กันว่าเราหักเงินสะสมของเรา และบริษัทก็สมทบเข้ามาเพิ่มให้เรา เมื่อครบเงื่อนไขตาม Vesting Schedule เราก็
มีสิทธิ์ได้รับเงินสมทบ + ผลประโยชน์ตามเปอร์เซ็นต์
กรณีของผม ตามตารางแล้ว ผมควรได้ เงินสมทบจากบริษัท 75% รวมถึงผลประโยชน์ แต่ตอนวันไปรับเช็ค
กลับได้รับแค่ “เงินสะสมของตัวเอง” เท่านั้นครับ
ผมถามฝ่ายบุคคล เขาบอกว่า “คุณไม่ปิดงาน R&D ที่ค้างอยู่” เลยไม่ดำเนินการให้ ซึ่งตรงนี้ผมมองว่า
ไม่ยุติธรรมเลย เพราะ
* งาน R&D ที่ว่าคือโปรเจกต์ต้นแบบ ไม่ได้มีผลต่อการขายจริง
* บริษัทเองก็ย้ายผมมาอยู่ฝ่ายผลิตก่อนแล้ว ทำให้ผมไม่ได้อยู่ในตำแหน่งเดิมที่จะปิดงานได้
* ต่อมาก็มีการจัด 5ส ของทุกอย่าง ทำให้งาน/อุปกรณ์เดิมไม่เหลือแล้ว
ผมเลยมองว่าบริษัท “เอาเรื่องงานมาบ่ายเบี่ยงตัดสิทธิ์กองทุน” ซึ่งไม่ถูกต้องแน่นอน เพราะเงินกองทุนเป็น
ทรัพย์สินของสมาชิก ไม่ใช่ของบริษัท
ตอนนี้ผมได้ส่งหนังสือยืนยันสิทธิ์ไปยัง บลจ. โดยตรงแล้ว และกำลังรวบรวมหลักฐาน ถ้ายังไม่ได้รับสิทธิ์เต็ม
จำนวน ผมจะดำเนินการร้องเรียนต่อ ก.ล.ต. และอาจฟ้องศาลแรงงานตามสิทธิ์ครับ
เลยอยากถามเพื่อน ๆ ใน Pantip ว่า
* มีใครเคยเจอปัญหาคล้าย ๆ กันบ้างไหมครับ?
* บลจ. จะช่วยสมาชิกมากน้อยแค่ไหน?
* มีวิธีไหนที่ทำให้บริษัทไม่กล้าบ่ายเบี่ยงสิทธิ์ลูกจ้างในอนาคตบ้าง?
แชร์ไว้เป็นอุทาหรณ์ครับ เพราะเงินกองทุนไม่ใช่น้อย ๆ เลย และมันเป็นสิทธิ์ของเราเต็ม ๆ
ใครกำลังคิดจะลาออก อย่าลืมตรวจสอบให้ชัดเจนว่าได้เงินครบทั้ง เงินสะสม + เงินสมทบ + ผลประโยชน์
ก่อนเซ็นเอกสารใด ๆ นะครับ
____________________________________________________________________________
ข้อควรรู้ก่อนลาออก เกี่ยวกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
1. ตรวจสอบ Vesting Schedule (เปอร์เซ็นต์สิทธิเงินสมทบ) ของตัวเองให้ชัดเจน
2. ก่อนลาออก ให้ขอ Statement กองทุนสำรองเลี้ยงชีพล่าสุด จาก บลจ.
3. ตรวจสอบว่าเช็คที่ได้รับ ครบทั้ง
* เงินสะสมของเรา
* เงินสมทบของบริษัท (ตามสิทธิ์)
* ผลประโยชน์จากการลงทุน
4. ถ้าได้รับไม่ครบ ให้ ทำหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษรถึง บลจ. โดยตรง
5. หากไม่ได้รับการแก้ไข → ร้องเรียนไปที่ ก.ล.ต. หรือใช้สิทธิ์ฟ้องศาลแรงงานได้
6. อย่าเซ็นเอกสาร “สละสิทธิ์” หรือ “ยอมรับตามจำนวนที่ได้” ถ้ายังไม่มั่นใจ