"ชายที่สกปรกที่สุดในโลก" ผู้ที่ไม่ยอมอาบน้ำ มานานกว่า 67 ปี


คนส่วนใหญ่อาจเคยมีประสบการณ์บางช่วงในชีวิตที่การอาบน้ำอาจไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด
อาจเพราะไม่มีเวลา หลงลืม หรือไม่สามารถเข้าถึงความสะดวกในการอาบน้ำได้

การไม่อาบน้ำติดต่อกันไม่กี่วันคงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่พอผ่านไปสักสัปดาห์หรือมากกว่านั้น
ก็เริ่มรู้สึกน่ากังวลขึ้นมาหน่อยแล้ว...และอาจมีกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ตามมาด้วย 

แล้วถ้าไม่ได้อาบน้ำนานเป็นปีๆ หรือนานถึง 67 ปีหล่ะ?

นี่คือวิถีชีวิตของชายชาวอิหร่านที่มีชื่อเรียกว่า Amou Haji
ซึ่งรู้จักกันในนามของ “World’s Dirtiest Man” (ชายที่สกปรกที่สุดในโลก)

เป็นเวลาเกินกว่าครึ่งศตวรรษที่อามู ฮัจจิ ใช้ชีวิตอย่างสันโดษคนเดียว
เขาไม่อาบน้ำ และดำรงชีวิตโดยการกินซากสัตว์ที่ตายตามข้างถนน
 และมีงานอดิเรกคือการสูบไปป์ที่มาจากมูลสัตว์

เขาอาศัยอยู่ที่หมู่บ้าน Dezh Gah ในประเทศอิหร่านมาทั้งชีวิต ชื่อจริงของเขาไม่ทราบเป็นที่แน่ชัด
ส่วนชื่อ อามู ฮัจจิ เป็นชื่อเล่นที่คนในหมู่บ้านใช้เรียกเขา โดยชื่อมีความหมายว่า "คนรุ่นเก่า"

 ไม่ค่อยมีใครรู้เกี่ยวกับชีวิตในอดีตของอามู ฮัจจิมากนัก แต่เขาเคยเอ่ยว่า ได้เริ่มต้นชีวิตช่วงแรกด้วยการเป็นนักบวช
แต่หลังจากที่ต้องทนทุกข์ทรมานกับความเศร้าเสียใจจากเหตุการณ์บางอย่าง ฮัจจิได้เริ่มปลีกตัวมาอาศัยอยู่ในกระท่อมชานเมือง
คนในท้องถิ่นยังคงคุ้นเคยกับเขาเป็นอย่างดี แม้ปกติจะดูเหมือนไม่ได้สนใจกับการมีตัวตนอยู่ของเขามากนักก็ตาม

เหตุผลที่เขาไม่อาบน้ำคือความเชื่อส่วนตัวที่กลัวว่าการอาบน้ำอาจทำให้เกิดโรคและอาการป่วยได้
ความเชื่อนี้รุนแรงมากจนเขาไม่เคยอาบน้ำเลยมานานกว่า 67 ปี
จนทำให้ผิวของเขาเต็มไปด้วยสิ่งสกปรก เช่น ฝุ่นผง และแม้กระทั่งหนอง

หลังจากเรื่องราวของฮัจจิกลายเป็นที่สนใจ  (โดยถูกนำไปทำเป็นสารคดีชื่อ "The Strange Life of Amou Haji" ในปี 2013)
ครั้งหนึ่งมีกลุ่มชายหนุ่มพยายามเกลี้ยกล่อมเพื่อให้เขาอาบน้ำด้วยเจตนาที่ดี
แต่ฮัจจิก็หนีออกมาได้สำเร็จ โดยที่น้ำยังไม่ได้แตะต้องตัวเขาแม้แต่หยดเดียว

หลังจากไม่ได้อาบน้ำมาหลายสิบปี ผิวของเขาแทบจะเป็นสีน้ำตาลผสมเทาเกือบทั่วตัว
และผมของเขาก็มีสีที่คล้ายกันกับสีผิว เขาใช้วิธีดูแลผมและเคราของตัวเองด้วยการลนไฟเพื่อความเรียบร้อย


อามู ฮัจจิ กินและดื่มอะไร?

ความกลัวการอาบน้ำของเขาไม่ใช่สิ่งเดียวที่ทำให้อามู ฮัจจิ นั้นแตกต่างจากคนอื่นๆ
อาหารและงานอดิเรกของเขายังแปลกประหลาดจนดึงดูดความสนใจได้อีกด้วย
 

ถึงแม้ฮัจจิอาจจะกลัวการอาบน้ำ แต่สำหรับการดื่มแล้ว เขามักจะดื่มน้ำเปล่าวันละมากกว่า 5 ลิตร
จากกระป๋องเปล่าอันสกปรกที่ไม่เคยล้าง โดยเขาเลือกที่จะไปหาตักจากแหล่งน้ำมาดื่มเอง มากกว่าจะดื่มน้ำประปาที่ชาวบ้านนำมาให้

ในเรื่องของอาหาร พฤติกรรมการกินของเขาอาจแย่ยิ่งกว่าการอาบน้ำเสียอีก
อามู ฮัจจิ ปฏิเสธที่จะกินอาหารแบบปรุงสุก โดยอาหารที่ฮัจจิกินมักจะเป็นซากสัตว์ที่ถูกรถชนตาย
และไม่ว่าเนื้อจะเน่าเสียแค่ไหน เขาก็จะกินมันแบบดิบๆเสมอ และว่ากันว่าเมนูโปรดของเขาคือเนื้อเม่น

 ฮัจจิก็ชอบสูบบุหรี่เช่นกัน เขามีไปป์เก่าๆที่เขาโปรดปราน แต่มันไม่ใช่ยาสูบที่เขาใส่เข้าไป
อามู ฮัจจิจะใส่มูลสัตว์ลงไปในไปป์เพื่อสูบแทน นอกจากนี้เขาก็ชอบบุหรี่มวนเช่นกัน โดยมีภาพที่เขาสูบบุหรี่หลายมวนพร้อมกัน 

น่าแปลกที่น้ำสกปรกที่ดื่มและเนื้อเน่าเสียที่กินมาตลอดไม่ได้ทำให้อามู ฮัจจิป่วยเลยแม้แต่นิดเดียว
เขายังคงมีสุขภาพดีจนกระทั่งก่อนช่วงที่เสียชีวิต

สิ่งที่อาจทำให้เขาป่วยจริงๆคือการอาบน้ำครั้งแรกในรอบหลายสิบปี
และเพียงไม่กี่เดือนหลังจากการอาบน้ำครั้งนี้ เขาก็เสียชีวิตลง

เมื่อเขาอายุ 94 ปี มีชาวบ้านบางคนสามารถเกลี้ยกล่อมและพาอามู ฮัจจิไปยังสถานที่ที่เหมาะสม
ที่ซึ่งเขาจะได้อาบน้ำเป็นครั้งแรกในรอบ 67 ปี ได้สำเร็จ

 ข้อเสนอนี้เป็นความหวังดีและไม่ได้มีเจตนาร้ายแต่อย่างใด
อันที่จริงแล้ว  ชาวบ้านได้คอยช่วยเหลือเขาในเรื่องเล็กๆน้อยๆมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา
เพื่อช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตการเป็นอยู่ของฮัจจิ เช่น การสร้างกระท่อมเล็กๆขึ้นมาใหม่ด้วยบล็อกซีเมนต์ให้กับเขา
 

หลังจากอาบน้ำครั้งแรกไปแล้ว ฮาจิแทบจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตอะไรเลย
เขายังคงอาศัยอยู่ในกระท่อม กินซากสัตว์ที่ถูกรถชน และดื่มน้ำจากแหล่งน้ำที่สกปรก
แต่ไม่นานนักเขาก็ล้มป่วย และสุขภาพก็เริ่มทรุดโทรมลง
 

ไม่มีการชี้ชัดว่าการอาบน้ำเป็นสาเหตุที่ทำให้อามู ฮัจจิเสียชีวิตหรือไม่ หรือเป็นเพราะจังหวะเวลาของอายุขัยกันแน่
อย่างไรก็ตาม ผ่านไปไม่กี่เดือนหลังจากการอาบน้ำครั้งแรก
อามู ฮัจจิก็ได้เสียชีวิตลงที่กระท่อมของเขาในเดือนตุลาคมปี 2022 โดยขณะนั้น เขามีอายุ 94 ปี

ก่อนที่ฮัจจิจะเสียชีวิต ศาสตราจารย์ด้านปรสิตวิทยา  Dr. Gholamreza Molavi จากคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยการแพทย์เตหะราน
ได้ทำการทดสอบกับฮัจจิ เพื่อค้นหาเคล็ดลับที่ช่วยให้เขามีอายุยืนยาวและมีสุขภาพที่ดี แม้ว่าเขาจะมีวิถีชีวิตที่ยากลำบากก็ตาม
 

แพทย์สรุปว่าอามู ฮัจจิน่าจะมีระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงมากหลังจากใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมที่ไม่ถูกสุขอนามัยมานานหลายสิบปี
ระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงนี้ช่วยให้เขามีสุขภาพที่ดี แม้จะอยู่ในสภาวะที่เลวร้ายที่สุดก็ตาม 

แต่อามู ฮัจจิ นั้นมีอาการป่วยอยู่อย่างหนึ่ง โดยในช่วงหนึ่งของชีวิต
ฮัจจิเคยเป็นโรคทริคิโนซิส (Trichinosis) ซึ่งเป็นโรคติดต่อจากสัตว์ถึงคน ที่มาจากปรสิตที่มักพบในเนื้อสัตว์ดิบ

เมื่อพิจารณาถึงความชื่นชอบของฮัจจิในการกินซากสัตว์ดิบๆที่ถูกรถชน จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่จะพบว่าเขาป่วยเป็นโรคทริคิโนซิส  
ถึงแม้ว่าโรคนี้ดูเหมือนจะไม่ได้ส่งผลกระทบต่อชีวิตของฮัจจิอย่างมีนัยยะสำคัญเลยก็ตาม

 สรุปแล้วอามู ฮัจจิ เป็นเพียงชายผู้ไร้พิษภัยคนหนึ่งที่ไม่เคยสนใจที่จะอาบน้ำเลย
ไม่แน่ใจว่าการอาบน้ำครั้งแรกและครั้งสุดท้ายในรอบ 67 ปีของเขาคือสิ่งที่ฆ่าเขาหรือไม่
แต่สิ่งที่รู้คือเขามีชีวิตที่ยืนยาวและน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง


CR.historydefined-net





 คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

 
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่