❓ทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ดีต่อสุขภาพอย่างไร ทำไมองค์กรส่วนใหญ่จึงไม่เริ่มทำเสียที ?

☸️การทำงานสัปดาห์ละ 5 วันแล้วใช้เวลาพักผ่อนหย่อนใจในช่วงสุดสัปดาห์ก่อนเตรียมความพร้อมของตัวเองเพื่อกลับมาสู้กับงานอีกครั้งในสัปดาห์ถัดไปจะเป็นอย่างไร หากวัฏจักรแบบนี้กำลังจะเปลี่ยนไป
งานวิจัยชิ้นสำคัญฉบับหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature Human Behaviour ซึ่งถือเป็นวารสารสำคัญที่สุดในหมวดนี้ พบว่า การลดเวลาทำงานลงเหลือสัปดาห์ละ 4 วันจะช่วยปรับปรุงความเป็นอยู่ของผู้คนให้ดีขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญ
ทีมนักวิจัยจากวิทยาลัยบอสตันได้ทำการทดลองด้วยการติดตามตัวบ่งชี้สำคัญ 4 ประการ ประกอบด้วย 1) ภาวะหมดไฟ 2) ความพึงพอใจในงาน 3) สุขภาพกาย และ 4) สุขภาพทางจิตใจ ใน 141 บริษัทในหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย แคนาดา ไอร์แลนด์ และนิวซีแลนด์
"เราพบว่าความเป็นอยู่ของพนักงานดีขึ้นอย่างมาก" เหวิน ฟาน ผู้เขียนหลักในงานวิจัยนี้กล่าวกับบีบีซี
"บริษัทต่าง ๆ ยังเห็นถึงประสิทธิภาพการทำงานและรายได้ที่เพิ่มขึ้นด้วย ตอนนี้การทดลองดังกล่าวสิ้นสุดลงแล้ว และผู้ที่ร่วมกับการทดลองนี้กว่า 90% เลือกที่จะทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ต่อไป"

งานวิจัยชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยที่มีการศึกษาเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยมุ่งศึกษาเชื่อมโยงการทำงานในช่วงสัปดาห์ที่สั้นลงกับสุขภาพที่ดีขึ้น ความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานที่ดีขึ้น และความพึงพอใจในชีวิตโดยรวมที่เพิ่มขึ้น
งานวิจัยชิ้นนี้เกิดขึ้นหลังจากงานวิจัยเมื่อไม่นานมานี้ที่พบว่า การทำงานในระยะเวลาที่ยาวนานอาจเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสมอง
ดังนั้น หากงานวิจัยชี้ให้เห็นประโยชน์ต่อสุขภาพชัดเจนขนาดนี้แล้ว อะไรกันที่หยุดยั้งเราอยู่ในตอนนี้ ?

☮️วัฒนธรรมของการทำงานหนักเกินไป


อย่างเช่น ในประเทศจีนเป็นที่รู้จักในเรื่องวัฒนธรรมการทำงานแบบ '996' ซึ่งพนักงานทำงานตั้งแต่ 9.00 น. ถึง 21.00 น. สัปดาห์ละถึง 6 วัน
ขณะที่ในภาคอุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยีและการเงินที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วของอินเดีย พนักงานมักเผชิญกับแรงกดดันอย่างไม่หยุดหย่อน จนทำให้พวกเขาต้องทำงานเป็นเวลานานและทำงานในเวลาไม่ปกติเพื่อตอบสนองความต้องการจากทั่วโลก
"ในหลายประเทศอย่าง จีน อินเดีย สหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักร การทำงานเป็นเวลานาน ๆ ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งเกียรติยศ" ศาสตราจารย์ฟานกล่าว
ส่วนในญี่ปุ่น การไม่ได้รับค่าล่วงเวลาเป็นเรื่องปกติมากจนประเทศนี้มีคำเรียกขานว่า "คาโรชิ" ( karoshi) ซึ่งหมายถึงความตายจากการทำงานหนักเกินไป

"ในญี่ปุ่น งานไม่ใช่แค่การทำงาน แต่มันเหมือนเป็นพิธีกรรมทางสังคมอย่างหนึ่ง" ฮิโรชิ โอโนะ ผู้เชี่ยวชาญด้านตลาดแรงงานและวัฒนธรรมในที่ทำงานในญี่ปุ่นกล่าว
"ผู้คนมาทำงานแต่เช้าและอยู่ทำงานจนดึก แม้จะไม่มีงานจริง ๆ ทำ แค่เพียงแสดงถึงความมุ่งมั่น มันก็เป็นการแสดง เหมือนกับศิลปะการต่อสู้ที่มีวิถีของมัน"
เขาอธิบายเพิ่มเติมว่า วัฒนธรรมแบบรวมหมู่ของญี่ปุ่นเป็นแรงผลักดันต่อเรื่องนี้
"มันจะมีตราบาปที่รุนแรงต่อ 'คนที่กินแรงคนอื่น' ถ้าคนหนึ่งเริ่มหยุดงานวันศุกร์ คนอื่น ๆ จะคิดว่า 'ทำไมวันนี้ถึงได้ลางานล่ะ'"
สิ่งที่หลายคนอาจมองว่าน่าทึ่งก็คือ แม้แต่สิทธิประโยชน์ที่กฎหมายกำหนดไว้ เช่น การลางานเพื่อเลี้ยงดูบุตร ก็ยังมักไม่ได้ถูกนำมาใช้ในญี่ปุ่น
"ผู้ชายสามารถลาพักร้อนได้นานถึงหนึ่งปี แต่มีน้อยคนนักที่จะทำเช่นนั้น เพราะไม่อยากสร้างความไม่สะดวกให้เพื่อนร่วมงาน" โอโนะกล่าว
ถึงกระนั้น ศาสตราจารย์เหวิน ฟาน เชื่อว่าการทดลองแบบเดียวกับของงานวิจัยที่เธอทำ กำลังเริ่มเปลี่ยนมุมมองในเรื่องนี้ แม้แต่ในสถานที่ที่รักษาธรรมเนียมการทำงานหนักเกินไปยังคงเหนียวแน่นอยู่ก็ตาม

ส่วนในประเทศไอซ์แลนด์ ในปัจจุบันมีประชากรเกือบ 90% ของประเทศลดชั่วโมงการทำงานลงหรือมีสิทธิลดเวลาทำงานในแต่ละสัปดาห์ได้แล้ว
ขณะเดียวกันหลายประเทศ เช่น แอฟริกาใต้ บราซิล ฝรั่งเศส สเปน สาธารณรัฐโดมินิกัน และบอตสวานา ได้มีการทดลองในเรื่องนี้ไปแล้วเช่นกันหรือไม่ก็กำลังดำเนินการอยู่

เมื่อต้นปีที่ผ่านมา รัฐบาลญี่ปุ่นได้เริ่มโครงการนำร่องให้พนักงานของรัฐทำงานสัปดาห์ละ 4 วัน ขณะที่รัฐบาลนครดูไบก็เพิ่งเปิดตัวโครงการฤดูร้อนที่คล้ายคลึงกันสำหรับพนักงานรัฐเช่นกัน ส่วนที่เกาหลีใต้จะทดสอบการทำงานสัปดาห์ละ 4.5 วันใน 67 บริษัท โดยจะเริ่มตั้งแต่เดือน ต.ค. นี้
การงานไม่สอดคล้องกับการใช้ชีวิต


"ตั้งแต่เกิดการระบาดของโรคโควิด-19 มีผู้คนจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ รู้สึกว่างานและชีวิตของพวกเขาไม่สอดคล้องกัน และไม่สามารถเปลี่ยนแนวโน้มดังกล่าวได้อีกต่อไป" คาเรน โลว์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารหรือซีอีโอของ โฟร์เดย์ วีค โกลบอล (4 Day Week Global) กล่าว
องค์กรของเธอให้การช่วยเหลือบริษัทต่าง ๆ ทั่วโลกในการทดสอบรูปแบบการทำงานแบบ 4 วัน เช่นที่บราซิล นามิเบีย ไปจนถึงเยอรมนี
หนึ่งในเรื่องราวความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเธอคือ ตำรวจเมืองโกลเดน รัฐโคโลราโด ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ 250 นาย นับตั้งแต่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงทำงานมาเป็น 4 วันต่อสัปดาห์ ค่าใช้จ่ายในการทำงานล่วงเวลาลดลงเกือบ 80% และอัตราการลาออกลดลงครึ่งหนึ่ง
"หากการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ผลในตำรวจประจำเมือง ๆ หนึ่งที่มีเจ้าหน้าที่ลาดตระเวน รับมือกับเหตุฉุกเฉิน... มันก็จะสามารถทำได้ในที่อื่นด้วยเช่นกัน" โลว์กล่าว
"ตอนที่เราเริ่มการทดลองครั้งแรกในปี 2019 มีบริษัทที่สนใจในแนวทางนี้เพียงไม่กี่แห่ง ตอนนี้มีหลายพันบริษัทแล้ว"

🚫ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาแบบเดียวที่เหมาะกับทุกบริษัท

ถึงกระนั้นการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ก็ยังไม่เกิดขึ้นจริงในทุกที่
"องค์ประกอบทางอุตสาหกรรมของประเทศและขั้นตอนการพัฒนามีความสำคัญ" ศาสตราจารย์เหวิน ฟาน กล่าว
"ในแอฟริกา คนงานจำนวนมากอยู่ในภาคเกษตรกรรม เหมืองแร่ หรือภาคเศรษฐกิจนอกระบบ" คาเรน โลว์ กล่าวเสริม "พวกเขาไม่ได้ใกล้เคียงกับการพูดคุยเรื่องความยืดหยุ่นของแรงงานเลย"

โลว์กล่าวว่า งานที่ใช้แรงงานทักษะต่ำนั้นปรับโครงสร้างได้ยากกว่า และนายจ้างในภาคส่วนเหล่านี้มักแสวงหาผลกำไรสูงสุดแทนที่จะคิดทบทวนตารางเวลาการทำงานใหม่
ทว่าก็ยังมีความคืบหน้าอยู่บ้าง

การศึกษาของศาสตราจารย์ฟานครอบคลุมถึงบริษัทต่าง ๆ ในธุรกิจก่อสร้าง การผลิต และการบริการ และพบว่ามีบางส่วนก็รายงานว่าประสบความสำเร็จ

"มันได้ผลในหลายภาคส่วน แต่ฉันไม่อยากนำเสนอว่า การทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์เป็นยาครอบจักรวาล" เธอกล่าว "มันไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาแบบเดียวที่เหมาะกับทุกบริษัท"
คนรุ่นใหม่กำลังขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

ผู้เชี่ยวชาญเห็นพ้องกันว่าแรงผลักดันสำคัญที่สุดที่อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงนี้จะมาจากคนรุ่นใหม่
ผลสำรวจทั่วโลกในปี 2025 พบเป็นครั้งแรกว่าความสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวมีความสำคัญเหนือกว่าเงินเดือน
อย่างเช่นในเกาหลีใต้ แรงงานหนุ่มสาวจำนวนมากกล่าวว่า พวกเขายินดีลดเงินเดือนเพื่อแลกกับสัปดาห์สำหรับการทำงานที่สั้นลง
"เรากำลังเห็นแนวคิดต่อต้านในเรื่องนี้เพิ่มมากขึ้นในหมู่คนรุ่นใหม่" ศาสตราจารย์ฟาน กล่าว "พวกเขามีความคิดที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเกี่ยวกับเป้าประสงค์ของการทำงาน และสิ่งที่พวกเขาต้องการจากชีวิต"
เธอกล่าวว่า การเคลื่อนไหวต่าง ๆ เช่น การลาออกครั้งใหญ่ (Great Resignation) หรือ การลาออกเป็นจำนวนมากหลังการระบาดใหญ่ของโรคโควิด-19, การลาออกอย่างเงียบ ๆ (quiet quitting) หรือลักษณะการทำงานเฉพาะสิ่งที่จำเป็นในที่ทำงานเท่านั้น และในประเทศจีน การ "นอนราบ" หรือการปฏิเสธวัฒนธรรมการทำงานหนักเกินไป แสดงให้เห็นว่าคนทำงานรุ่นใหม่กำลังหาวิธีแสดงความไม่พอใจและปฏิเสธวัฒนธรรมภาวะหมดไฟ เมื่อเวลาผ่านไป การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อาจเปลี่ยนแปลงบรรทัดฐานในที่ทำงาน
ส่วนในญี่ปุ่น ฮิโรชิ โอโนะ กำลังเห็นการเปลี่ยนแปลงบางอย่างแล้วเหมือนกัน
"ปัจจุบันผู้ชายญี่ปุ่น 30% ใช้สิทธิลาเพื่อเลี้ยงดูบุตรแล้ว ขณะที่แต่ก่อนแทบจะไม่มีเลย" เขากล่าว "มันแสดงให้เห็นว่า ผู้คนให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ที่ดีของตัวเองมากขึ้น"
คาเรน โลว์ ก็เห็นด้วย "นี่เป็นครั้งแรกที่พนักงานเริ่มต่อต้านอย่างจริงจัง และยิ่งอายุน้อยเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงมากขึ้นเท่านั้น"
เธอเชื่อว่าโมเมนตัมนี้กำลังก่อตัวขึ้น
"โควิดเป็นจุดเปลี่ยนแรกของเรา ฉันหวังว่าครั้งต่อไปจะเป็นการทำงานสัปดาห์ละ 4 วัน"

Cr : https://www.bbc.com/thai/articles/c4gl78eze94o





แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่