แกะรอยนิติเวช : หมอหมู วีระศักดิ์
ตายกที่นาให้หลานที่เลี้ยงดู แต่ลูก ๆ ลุกขึ้นฟ้อง
ชายชราวัย 78 ปี เดินเข้ามาหาผมด้วยไม้เท้าและรอยยิ้มบาง ๆ ข้างกายมี “หลานสาว” วัย 25 ปี คอยพยุงอย่างใกล้ชิด เธอคือคนที่อยู่กินด้วย ดูแลตาไม่ห่างทั้งเรื่องอาหาร ยา และพาไปหาหมอ
คุณตาพูดเสียงแผ่วแต่หนักแน่นว่า “หมอครับ…ตาอยากโอนที่นาให้หลานคนนี้ เพราะตั้งแต่ลูก ๆ แต่งงานแยกย้ายกันไป ไม่มีใครกลับมาดูแลตาเลย มีแต่หลานที่อยู่กับตา… ตาอยากตอบแทน”
คำพูดของชายแก่เรียบง่าย แต่ความหมายกลับลึกซึ้ง — ที่นาที่ปลูกข้าวมาตลอดชีวิต ไม่ได้มีมูลค่ามหาศาล แต่เป็น “สมบัติชิ้นสุดท้าย” ที่เขาอยากมอบให้คนที่รักจริง
แต่เพียงไม่กี่วันหลังจากเขาเริ่มทำเรื่องโอน ลูกชายและลูกสาวก็พากันยื่นคำร้องคัดค้าน บอกว่าพ่อ “โดนหลานหลอก” หรือ “ไม่รู้เรื่องแล้ว” จนศาลมีคำสั่งให้ตรวจสอบ “สติสัมปชัญญะ” ของคุณตา ว่าแท้จริงแล้ว เขาเข้าใจสิ่งที่กำลังทำหรือไม่
มุมแพทย์นิติเวช
หน้าที่ของผม คือ การซักถาม ตรวจสอบ และรับรองว่า “คุณตายังมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน” หรือไม่ เขาต้องตอบคำถามได้ว่า
1. ที่นามีที่ไหน ขนาดเท่าไร
2. การโอนคือ การยกกรรมสิทธิ์ ไม่ใช่การให้ยืมหรือฝากไว้
3. เมื่อโอนแล้ว หลานสาวจะเป็นเจ้าของตามกฎหมาย ไม่ใช่เขาอีกต่อไป
สิ่งเหล่านี้ ต้องเป็น “คำพูดจากปากคุณตาเอง” ไม่ใช่มีใครมากำกับสั่งให้ตอบ เพราะถ้าเขาไม่เข้าใจจริง เอกสารทุกฉบับก็กลายเป็นโมฆะ
ในกรณีนี้ คุณตาตอบได้ครบถ้วน แม้เสียงสั่นและพูดช้า แต่ทุกถ้อยคำชัดเจนว่าเป็นความตั้งใจของตาเอง ไม่ใช่การบังคับ
มุมกฎหมาย
ตามกฎหมาย เจ้าของทรัพย์สินที่บรรลุนิติภาวะและมีสติสัมปชัญญะ ย่อมมีสิทธิ์โอนหรือจัดการทรัพย์สินของตนเองได้เต็มที่ ไม่ว่าลูกหลานจะพอใจหรือไม่ก็ตาม
สิ่งเดียวที่ศาลและสังคมต้องการพิสูจน์คือ “เขายังมีสติรู้เรื่อง” หรือไม่
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม การตรวจและออกใบรับรองสติจากแพทย์ จึงสำคัญ เพราะเป็นหลักฐานยืนยันว่าเจ้าของทรัพย์สินได้ตัดสินใจด้วยเจตนาของตนเอง
มุมชีวิต
สิ่งที่เจ็บปวดที่สุดไม่ใช่การโอนที่นา แต่คือ “การฟ้องร้องกันระหว่างพ่อกับลูก”
พ่อไม่ได้โกรธลูก ๆ ที่มาคัดค้าน เขาเพียงพูดเบา ๆ กับผมว่า… “ตาไม่ได้เกลียดลูกนะ แต่ตาอยากตอบแทนคนที่อยู่กับตาจริง ๆ … ถ้าวันหนึ่งลูกเจ็บป่วยไม่มีใครดูแล เขาจะเข้าใจความรู้สึกของตาเอง”
คำพูดนั้นทำให้ผมหยุดคิดนาน — ความกตัญญู ไม่ได้อยู่ที่สายเลือด แต่อยู่ที่การกระทำจริง ๆ ในวันที่อีกฝ่ายยังมีชีวิต
ข้อคิด
1. สิทธิ์ของเจ้าของทรัพย์สิน อยู่เหนือความพอใจของลูกหลาน หากเขายังมีสติครบถ้วน
2. การรับรองสติ คือ เกราะป้องกันไม่ให้การโอนทรัพย์สินถูกตีความว่า “ถูกหลอก” หรือ “ไม่รู้เรื่อง”
3. ความรักและการดูแลกันในชีวิตประจำวัน มีค่ามากกว่าทรัพย์สินใด ๆ เพราะสุดท้าย คนแก่ไม่ได้ต้องการอะไร นอกจาก “คนที่อยู่ข้าง ๆ”
เรื่องเล่าจากห้องรับรองสติ
บางครั้งสมบัติชิ้นใหญ่ที่สุดของพ่อแม่ ไม่ใช่ที่นา ไม่ใช่เงินทอง แต่คือ การได้รู้ว่าในยามแก่เฒ่า ยังมีใครสักคนไม่ทอดทิ้ง
https://www.facebook.com/groups/moo.werasak.charaschaisri/permalink/3978520335740500
ความเห็นจขกท. ควรทำเป็นพินัยกรรมไว้ดีกว่า เห็นมาเยอะแล้วที่พอยกสมบัติให้แล้วผู้รับก็เปลี่ยนไป
ข้อคิดจากหมอนิติเวช : หมอหมู วีระศักดิ์ ตายกที่นาให้หลานที่เลี้ยงดู แต่ลูก ๆ ลุกขึ้นฟ้อง