ช่วงนี้ใครติดตามตลาดหุ้นเพื่อนบ้าน คงได้ยินข่าวใหญ่เรื่อง
"ทุนต่างชาติไหลออกจากเวียดนาม" กันมาบ้าง ล่าสุด Bloomberg รายงานว่า
👉 นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นเวียดนามกว่า
1.5 พันล้านดอลลาร์ (ราว 4.8 หมื่นล้านบาท) ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็น
การขายออกสูงสุดตั้งแต่มีการเก็บข้อมูลปี 2009
สาเหตุหลัก ๆ มาจาก
- ค่าเงินดองที่อ่อนค่าลงต่อเนื่อง (ปีนี้อ่อนค่าไปแล้วกว่า
3.4% – แย่ที่สุดในอาเซียน)
- นักลงทุนกังวลว่าแนวโน้มจะอ่อนค่าอีก โดย MUFG Bank คาดว่าจะไปแตะ
26,500 ดอง/ดอลลาร์ สิ้นปีนี้
- ตลาดหุ้นเวียดนามพุ่งแรงเกินไป (+32% ตั้งแต่ต้นปี) ทำให้ Valuation เริ่มแพง จึงมีแรงขายทำกำไรออกมา
โดยหุ้นที่โดนขายหนักก็หนีไม่พ้น
"วินกรุ๊ป (Vingroup)" ตัวใหญ่สุดของตลาด ซึ่งถูกขายออกกว่า
493 ล้านดอลลาร์
💡 มุมที่น่าสนใจคือ
- เวียดนามยังถูกมองว่าเป็น “ดาวรุ่งเศรษฐกิจเอเชีย” และอาจถูกอัปเกรดจาก
Frontier เป็น
Emerging Market ซึ่งจะดึงดูดกองทุนใหญ่ๆ เข้ามาในอนาคต
- แต่ความเสี่ยงระยะสั้นคือตัวค่าเงิน ถ้าอ่อนต่อเนื่องก็อาจทำให้ต่างชาติยังคงไหลออก
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ต่างชาติแห่ทิ้ง 'หุ้นเวียดนาม' สูงสุดเป็นประวัติการณ์
.
สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานวันนี้ (3 ก.ย.68) ว่า นักลงทุนต่างชาติกำลังดึงเงินออกจาก ตลาดหุ้นเวียดนาม "สูงสุดเป็นประวัติการณ์" จากความกังวลเรื่อง "ค่าเงินดอง" ที่ทยอยอ่อนค่าลงต่อเนื่อง และฉุดความน่าสนใจของหุ้นเวียดนามลง
.
จากข้อมูลที่รวบรวมโดยบลูมเบิร์กพบว่า กองทุนทั่วโลก "ขายสุทธิ" ออกจากตลาดหุ้นเวียดนาม 1.5 พันล้านดอลลาร์ (ราว 4.86 หมื่นล้านบาท) ในเดือนส.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นมูลค่าการขายสุทธิรายเดือนที่สูงที่สุดนับตั้งแต่มีการเก็บข้อมูลในปี 2009 เป็นต้นมา ส่วนใหญ่เป็นการขายในหุ้นตัวใหญ่บางตัว ในขณะที่ค่าเงินดองกำลังอ่อนค่าลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และนักวิเคราะห์บางรายคาดการณ์ว่าค่าเงินเวียดนามจะยังเดินหน้าอ่อนค่าต่อเนื่อง
.
ไทเลอร์ หม่าน ดุง เหวียน หัวหน้านักกลยุทธ์ตลาดของบริษัทหลักทรัพย์โฮจิมินห์ซิตี้ ซีเคียวริตีส์ กล่าวว่า ความกังวลเรื่องแนวโน้มค่าเงินที่ไม่ค่อยดีนักกำลังหนุนให้เกิดทุนไหลออก นอกจากนี้ยังมาจากการขายทำกำไรหลังจากที่ตลาดหุ้นพุ่งขึ้นอย่างร้อนแรงด้วย
.
ในปีนี้ดัชนี VN ตลาดหุ้นเวียดนาม บวกขึ้นไปแล้วกว่า 32% แซงหน้าทุกตลาดหุ้นในภูมิภาคอาเซียน จากมุมมองเชิงบวกต่อทิศทางการเติบโตทางเศรษฐกิจของเวียดนาม และแนวโน้มที่ตลาดหุ้นเวียดนามจะได้รับการอัปเกรดจากตลาดชายขอบ Frontier ไปเป็นตลาดเกิดใหม่ Emerging markets อย่างไรก็ตาม ความร้อนแรงนี้ก็ทำให้แวลูเอชันสูงขึ้นด้วย บวกกับค่าเงินเวียดนามที่อ่อนค่าลง จึงยิ่งกระตุ้นให้ต่างชาติถอนเงินออก
.
ซูเฟียนตี นักวิเคราะห์ของบลูมเบิร์กระบุว่า การขายสุทธิในตลาดหุ้นเวียดนามดูเหมือนจะเน้นไปที่หุ้นตัวใหญ่ของบริษัท "วินกรุ๊ป" (Vingroup) ซึ่งมีสัดส่วนมากถึง 493 ล้านดอลลาร์ (ราว 1.6 หมื่นล้านบาท) จากการขายสุทธิทั้งหมดในปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม ตลาดเกิดใหม่ส่วนใหญ่ก็มักจะถูกขายสุทธิกันในเดือนที่แล้ว จึงไม่ถือว่าเป็นเคสเฉพาะแค่เวียดนาม
.
ทั้งนี้ ค่าเงินดองอ่อนค่าลงไปแล้วราว 3.4% ในปีนี้ ซึ่งนับเป็นค่าเงินที่มีผลงานแย่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน และบรรดานักวิเคราะห์ยังคาดการณ์ว่าค่าเงินเวียดนามจะยิ่งอ่อนค่าลงอีก ธนาคาร MUFG Bank คาดการณ์ว่าค่าเงินดองจะอ่อนค่าลงไปแตะ 26,500 ดอง/ดอลลาร์ ภายในสิ้นปีนี้ เนื่องจากการนำเข้าที่พุ่งสูงขึ้น และการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดที่ลดลง
.
สำหรับความเคลื่อนไหวล่าสุดในวันพุธนี้ ค่าเงินดองอ่อนค่าลง 0.1% เมื่อเทียบกับดอลลาร์ ขณะที่ดัชนี VN ลดลงมากสุดราว 0.7% ก่อนจะดีดตัวกลับขึ้นมา เหวียน อานห์ ดุก จากบริษัทหลักทรัพย์ SBB Securities กล่าวว่า ตลาดยังคงมีแรงสนับสนุนจากนักลงทุนในประเทศอย่างต่อเนื่อง และผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่ดีขึ้นยังเป็นปัจจัยบวกที่แข็งแกร่งด้วย
📉 ต่างชาติแห่ทิ้ง "หุ้นเวียดนาม" สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ! เกิดอะไรขึ้นกับตลาดที่ร้อนแรงที่สุดในอาเซียน ?
👉 นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นเวียดนามกว่า 1.5 พันล้านดอลลาร์ (ราว 4.8 หมื่นล้านบาท) ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็น การขายออกสูงสุดตั้งแต่มีการเก็บข้อมูลปี 2009
สาเหตุหลัก ๆ มาจาก
- ค่าเงินดองที่อ่อนค่าลงต่อเนื่อง (ปีนี้อ่อนค่าไปแล้วกว่า 3.4% – แย่ที่สุดในอาเซียน)
- นักลงทุนกังวลว่าแนวโน้มจะอ่อนค่าอีก โดย MUFG Bank คาดว่าจะไปแตะ 26,500 ดอง/ดอลลาร์ สิ้นปีนี้
- ตลาดหุ้นเวียดนามพุ่งแรงเกินไป (+32% ตั้งแต่ต้นปี) ทำให้ Valuation เริ่มแพง จึงมีแรงขายทำกำไรออกมา
โดยหุ้นที่โดนขายหนักก็หนีไม่พ้น "วินกรุ๊ป (Vingroup)" ตัวใหญ่สุดของตลาด ซึ่งถูกขายออกกว่า 493 ล้านดอลลาร์
💡 มุมที่น่าสนใจคือ
- เวียดนามยังถูกมองว่าเป็น “ดาวรุ่งเศรษฐกิจเอเชีย” และอาจถูกอัปเกรดจาก Frontier เป็น Emerging Market ซึ่งจะดึงดูดกองทุนใหญ่ๆ เข้ามาในอนาคต
- แต่ความเสี่ยงระยะสั้นคือตัวค่าเงิน ถ้าอ่อนต่อเนื่องก็อาจทำให้ต่างชาติยังคงไหลออก
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้