ช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา โปรเจ็กต์ “World” ที่ทำการเก็บข้อมูลทางชีวภาพ (Biometrics) ด้วยการสแกนม่านตาผ่านอุปกรณ์ที่เรียกว่า “Orb” ซึ่งกระจายตามศูนย์การค้าต่าง ๆ อยู่ในความสนใจของสังคมหลากหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็นขอบเขตในการเก็บข้อมูลส่วนบุคคล ความปลอดภัยของระบบ และวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของโครงการ
“ภัคพล ตั้งตงฉิน” ผู้จัดการ Tools for Humanity ประจำประเทศไทย ชี้แจงในประเด็นดังกล่าวว่า “World” เป็นเทคโนโลยีจากบริษัท Tools for Humanity (TFH) ที่ก่อตั้งโดย “อเล็กซ์ บลาเนีย” (Alex Blania) และ “แซม อัลต์แมน” (Sam Altman) ซีอีโอของ OpenAI ผู้พัฒนา ChatGPT ตั้งแต่ปี 2562
เป้าหมายสำคัญของโปรเจ็กต์นี้ คือการต่อสู้กับมิจฉาชีพที่นำ AI ไปใช้ในทางที่ผิด ช่วยคัดแยกมนุษย์กับบอต และพัฒนาเทคโนโลยีที่ทำให้ผู้ใช้งานสามารถยืนยันความเป็นมนุษย์บนโลกออนไลน์ โดยไม่จำเป็นต้องเปิดเผยตัวตน และข้อมูลส่วนตัวใด ๆ เช่น ชื่อ-นามสกุล ที่อยู่ หมายเลขบัตรประชาชน และเบอร์โทรศัพท์ เป็นต้น
“World App ให้บริการแล้วกว่า 160 ประเทศ มีผู้ใช้งานทั่วโลก 33 ล้านคน โดยมีผู้ที่ทำการยืนยัน World ID ผ่านการสแกนม่านตากับ Orb แล้วประมาณ 15 ล้านคน ส่วนในประเทศไทยมีผู้สร้างบัญชีบน World App แล้วราว 2 ล้านคน โดยครึ่งหนึ่งได้ทำการยืนยัน World ID ของตนเองแล้ว”
และนับตั้งแต่โปรเจ็กต์นี้เปิดตัวในประเทศไทยเมื่อเดือน มี.ค. 2568 เทคโนโลยีของ World กำลังพัฒนาเพื่อนำไปใช้โดยองค์กรพันธมิตร เช่น Pantip.com ที่จะช่วยให้การถาม-ตอบข้อมูลภายในอินเทอร์เน็ตน่าเชื่อถือมากขึ้น และ Eventpop ที่จะช่วยป้องกันบอตในการจองตั๋ว
“ภัคพล” ย้ำว่า หลังจาก Orb ถ่ายภาพม่านตาของผู้ใช้งานเพื่อประมวลผลสร้าง World ID แล้ว จะทำการลบภาพทั้งหมดทิ้งทันที โดยระบบจะแปลงลวดลายม่านตาเป็น “Iris Code” หรือรหัสดิจิทัลที่มีความยาวตัวเลขมากกว่าหมื่นหลัก โดยชุดรหัสนี้จะไม่สามารถแปลงกลับไปเป็นภาพม่านตาได้ ไม่ว่าจะใช้เทคโนโลยีใด ๆ ก็ตาม
“World ให้ความสำคัญกับการรักษาข้อมูล Iris Code เป็นอย่างมาก มีเทคโนโลยี AMPC หรือ Anonymized Multi-Party Computation รองรับอยู่เบื้องหลัง และขอยืนยันว่าบริษัทไม่มีการจ้างบุคคลที่ 3 ให้เข้ามาเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้งาน”
สำหรับประเด็นเรื่องค่าใช้จ่าย และการแจกเงินให้ผู้ที่มาลงทะเบียน “ภัคพล” ชี้แจงว่า World ไม่มีการเก็บค่าใช้จ่ายจากผู้ที่มาลงทะเบียน และไม่มีการแจกเงินสดด้วย แต่จะมีการมอบโทเค็น “Worldcoin” ให้กับผู้ใช้งานที่ทำการยืนยัน World ID แล้วเท่านั้น
“เวลาบริษัทเทคโนโลยีเปิดตัวบริการใหม่ ๆ จะมีการมอบเครดิต หรือการทดลองใช้งานอยู่แล้วเป็นปกติ แทนที่เราจะนำงบฯไปลงกับการตลาด ก็คิดว่าเอามาแจกเป็นโทเค็นให้ผู้ใช้งานดีกว่า”
เมื่อถามถึงแนวทางในการสร้างรายได้ของ World “ภัคพล” บอกว่า ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงของการสร้างการรับรู้ว่า World คืออะไร เพื่อสื่อสารวัตถุประสงค์ของโปรเจ็กต์อย่างชัดเจน เมื่อทุกอย่างมีความพร้อม การต่อยอดโมเดลธุรกิจจะตามมา โดย World มองที่การสร้างรายได้จากพาร์ตเนอร์ หรือธุรกิจที่ต้องการใช้ระบบยืนยันความเป็นมนุษย์ของบริษัทเป็นหลัก
“World มาพร้อมกับความตั้งใจที่จะพัฒนามาตรฐานใหม่ของการยืนยันความเป็นมนุษย์ เช่น ปัจจุบันเว็บไซต์ต่าง ๆ จะใช้ CAPTCHA เพื่อแยกความสามารถของบอตกับมนุษย์ แต่ยิ่ง AI เก่งมากเท่าไร CAPTCHA ยิ่งต้องซับซ้อนขึ้น เรามองว่าเป็นโอกาสของทางเลือกใหม่ที่มีประสิทธิภาพมากกว่า”
ผู้บริหาร World Thailand ทิ้งท้ายด้วยว่า ปัจจุบัน World ทำงานกับหน่วยงานภาครัฐอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส) หรือ PDPC ที่ทำหน้าที่กำกับดูแลเรื่องการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ภายใต้พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 เพื่อดูขอบเขตว่าอะไรทำได้หรือไม่ได้ เพราะสิ่งที่ World กำลังทำอยู่ เป็นเรื่องใหม่มากในประเทศไทย...
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ :
https://www.prachachat.net/ict/news-1877681
เพิ่มเติม
สคส.เบรกสแกนม่านตาแลกคริปโต ดึงหน่วยงานรัฐถกด่วน สั่งพิสูจน์ระบบทำลายข้อมูลก่อนใช้จริง ชี้เทคโนโลยีชีวมิติต้องปลอดภัย ห้ามใช้ผิด-ห้ามละเมิดสิทธิ
พ.ต.อ.สุรพงศ์ เปล่งขำ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) หรือ PDPC เปิดเผยว่า ปรากฏการณ์ที่ประชาชนจำนวนมากเข้าร่วมกิจกรรมสแกนม่านตาเพื่อแลกรับสินทรัพย์ดิจิทัล สร้างคำถามใหญ่ในสังคมว่า ข้อมูลชีวมิติ (biometric data) ที่ถูกนำมาใช้นั้นปลอดภัยเพียงใด ถูกเก็บนานเท่าไร และจะถูกส่งต่อไปใช้อย่างไร ในเมื่อข้อมูลม่านตาถือเป็น ข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหว ที่อยู่ภายใต้การคุ้มครองของ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ซึ่งได้ประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเมื่อวันที่ 22 ก.ค.68 ที่ผ่านมา และให้บริษัทชี้แจงแสดงหลักฐานเพิ่มเติมมานั้น
วานนี้ (4 ก.ย.68) ทาง สคส. ได้เร่งประชุมเข้มหารือด่วนร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรทั้ง ก.ล.ต., สอท., ปอท., รวมถึงโฆษก และกรรมาธิการ กมธ.คุ้มครองผู้บริโภค และภาคเอกชน พร้อมด้วยทีมงานศูนย์เฝ้าระวังการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล (PDPC Eagle Eye) ร่วมประชุม โดยเชิญบริษัทเข้าชี้แจงแสดงหลักฐานตามที่แจ้งให้แสดงเพิ่มเติม เพื่อสกัดความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัวในยุคดิจิทัล
สาระสำคัญของการหารือ คือ การรับฟัง และพิจารณาแนวทางมาตรการคุมเข้ม ครอบคลุมทั้งการเก็บ การใช้ และการตรวจสอบข้อมูลชีวมิติ โดยเฉพาะข้อมูลม่านตา ที่ถูกจัดว่าเป็นข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหวขั้นสูง นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้หยิบยก เรื่องเพื่อพิจารณา ขึ้นมาเป็นมาตรการเร่งด่วน เพื่อป้องกันไม่ให้ข้อมูลชีวมิติถูกนำไปใช้ผิดทาง โดยกำหนดแนวทางสำคัญ 3 ด้าน ได้แก่
1.มาตรการจัดเก็บและทำลายข้อมูล: ตรวจสอบว่ามีกระบวนการลบหรือทำลายข้อมูลม่านตาหลังหมดวัตถุประสงค์หรือไม่ พร้อมให้ส่งเอกสารหลักฐานยืนยันต่อ สคส.
2.มาตรการควบคุมการรับจ้างสแกนม่านตา: แจ้งเตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อมิจฉาชีพ โดยย้ำว่าค่าจ้างอาจเป็นเงินผิดกฎหมาย และให้หน่วยงานจัดส่งหลักฐานประกอบการตรวจสอบ
3.มาตรการความปลอดภัยและการขอความยินยอม: ผู้ให้บริการต้องเปิดเผยขั้นตอนการทำงานของเครื่องมือ การป้องกันความเสี่ยง และชี้แจงอย่างโปร่งใส เช่น ข้อมูลม่านตาจะถูกแปลงเป็นรหัสใด ใช้ทำอะไร และแจ้งวัตถุประสงค์อย่างละเอียด และชัดเจน
ทั้งนี้ เนื่องจากตามประเด็นที่ 1 การแสดงหลักฐานยังไม่ชัดเจนเพียงพอ ที่ประชุมจึงได้แนะนำให้มีการพิสูจน์หลักฐาน ซึ่งบริษัทขอกำหนดวันแสดงหลักฐานต่อสาธารณชนอีกครั้ง เพื่อความโปร่งใส และความจริงใจในการให้สังคมได้พิสูจน์ ถึงมาตรการในการลบทำลายของบริษัท บริษัทจึงยินดีที่จะชะลอการดำเนินการสแกนม่านตาที่เป็นประเด็นกังวลถึงความไม่ปลอดภัยไว้ก่อนจนถึงกำหนดวันที่จะแสดงหลักฐาน และพิสูจน์มาตรการลบทำลายดังกล่าวให้ชัดเจนต่อสังคมต่อไป
พ.ต.อ.สุรพงศ์ กล่าวว่า เทคโนโลยีชีวมิติจะต้องไม่ถูกใช้ละเมิดสิทธิ และทุกการเก็บข้อมูลต้องอยู่ภายใต้ความยินยอมจริง กรณีนี้จะเป็นหมุดหมายสำคัญ ในการกำกับดูแลการใช้ Digital ID, AI-based KYC และ Blockchain-based Identity ที่เริ่มขยายตัวในระบบเศรษฐกิจดิจิทัล
"กรณีสแกนม่านตากำลังกลายเป็น บททดสอบสำคัญถึงมาตรการ และความสมดุลของกฎหมาย PDPA ว่าจะสามารถปกป้องสิทธิประชาชนท่ามกลางกระแสเทคโนโลยีใหม่ได้จริงหรือไม่ ขณะเดียวกันยังสะท้อนความจำเป็นของการสร้าง กลไกร่วมรัฐ-เอกชน ในการตรวจสอบและกำกับดูแล เพื่อรักษาสมดุลระหว่าง นวัตกรรมดิจิทัล กับ สิทธิความเป็นส่วนตัว ทั้งนี้ ทาง สคส. ยังคงมีความกังวลถึงความปลอดภัยของข้อมูลฯ โดยให้ทางผู้ให้บริการเร่งดำเนินการเพื่อพิสูจน์ความโปร่งใสในการทำลายข้อมูลฯ ต่อไป" พ.ต.อ.สุรพงศ์ กล่าว
Cr. https://mgronline.com/cyberbiz/detail/9680000084951
World เจ้าของโปรเจ็กต์ “สแกนม่านตา” เป็นใคร มาจากไหน
“ภัคพล ตั้งตงฉิน” ผู้จัดการ Tools for Humanity ประจำประเทศไทย ชี้แจงในประเด็นดังกล่าวว่า “World” เป็นเทคโนโลยีจากบริษัท Tools for Humanity (TFH) ที่ก่อตั้งโดย “อเล็กซ์ บลาเนีย” (Alex Blania) และ “แซม อัลต์แมน” (Sam Altman) ซีอีโอของ OpenAI ผู้พัฒนา ChatGPT ตั้งแต่ปี 2562
เป้าหมายสำคัญของโปรเจ็กต์นี้ คือการต่อสู้กับมิจฉาชีพที่นำ AI ไปใช้ในทางที่ผิด ช่วยคัดแยกมนุษย์กับบอต และพัฒนาเทคโนโลยีที่ทำให้ผู้ใช้งานสามารถยืนยันความเป็นมนุษย์บนโลกออนไลน์ โดยไม่จำเป็นต้องเปิดเผยตัวตน และข้อมูลส่วนตัวใด ๆ เช่น ชื่อ-นามสกุล ที่อยู่ หมายเลขบัตรประชาชน และเบอร์โทรศัพท์ เป็นต้น
“World App ให้บริการแล้วกว่า 160 ประเทศ มีผู้ใช้งานทั่วโลก 33 ล้านคน โดยมีผู้ที่ทำการยืนยัน World ID ผ่านการสแกนม่านตากับ Orb แล้วประมาณ 15 ล้านคน ส่วนในประเทศไทยมีผู้สร้างบัญชีบน World App แล้วราว 2 ล้านคน โดยครึ่งหนึ่งได้ทำการยืนยัน World ID ของตนเองแล้ว”
และนับตั้งแต่โปรเจ็กต์นี้เปิดตัวในประเทศไทยเมื่อเดือน มี.ค. 2568 เทคโนโลยีของ World กำลังพัฒนาเพื่อนำไปใช้โดยองค์กรพันธมิตร เช่น Pantip.com ที่จะช่วยให้การถาม-ตอบข้อมูลภายในอินเทอร์เน็ตน่าเชื่อถือมากขึ้น และ Eventpop ที่จะช่วยป้องกันบอตในการจองตั๋ว
“ภัคพล” ย้ำว่า หลังจาก Orb ถ่ายภาพม่านตาของผู้ใช้งานเพื่อประมวลผลสร้าง World ID แล้ว จะทำการลบภาพทั้งหมดทิ้งทันที โดยระบบจะแปลงลวดลายม่านตาเป็น “Iris Code” หรือรหัสดิจิทัลที่มีความยาวตัวเลขมากกว่าหมื่นหลัก โดยชุดรหัสนี้จะไม่สามารถแปลงกลับไปเป็นภาพม่านตาได้ ไม่ว่าจะใช้เทคโนโลยีใด ๆ ก็ตาม
“World ให้ความสำคัญกับการรักษาข้อมูล Iris Code เป็นอย่างมาก มีเทคโนโลยี AMPC หรือ Anonymized Multi-Party Computation รองรับอยู่เบื้องหลัง และขอยืนยันว่าบริษัทไม่มีการจ้างบุคคลที่ 3 ให้เข้ามาเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้งาน”
สำหรับประเด็นเรื่องค่าใช้จ่าย และการแจกเงินให้ผู้ที่มาลงทะเบียน “ภัคพล” ชี้แจงว่า World ไม่มีการเก็บค่าใช้จ่ายจากผู้ที่มาลงทะเบียน และไม่มีการแจกเงินสดด้วย แต่จะมีการมอบโทเค็น “Worldcoin” ให้กับผู้ใช้งานที่ทำการยืนยัน World ID แล้วเท่านั้น
“เวลาบริษัทเทคโนโลยีเปิดตัวบริการใหม่ ๆ จะมีการมอบเครดิต หรือการทดลองใช้งานอยู่แล้วเป็นปกติ แทนที่เราจะนำงบฯไปลงกับการตลาด ก็คิดว่าเอามาแจกเป็นโทเค็นให้ผู้ใช้งานดีกว่า”
เมื่อถามถึงแนวทางในการสร้างรายได้ของ World “ภัคพล” บอกว่า ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงของการสร้างการรับรู้ว่า World คืออะไร เพื่อสื่อสารวัตถุประสงค์ของโปรเจ็กต์อย่างชัดเจน เมื่อทุกอย่างมีความพร้อม การต่อยอดโมเดลธุรกิจจะตามมา โดย World มองที่การสร้างรายได้จากพาร์ตเนอร์ หรือธุรกิจที่ต้องการใช้ระบบยืนยันความเป็นมนุษย์ของบริษัทเป็นหลัก
“World มาพร้อมกับความตั้งใจที่จะพัฒนามาตรฐานใหม่ของการยืนยันความเป็นมนุษย์ เช่น ปัจจุบันเว็บไซต์ต่าง ๆ จะใช้ CAPTCHA เพื่อแยกความสามารถของบอตกับมนุษย์ แต่ยิ่ง AI เก่งมากเท่าไร CAPTCHA ยิ่งต้องซับซ้อนขึ้น เรามองว่าเป็นโอกาสของทางเลือกใหม่ที่มีประสิทธิภาพมากกว่า”
ผู้บริหาร World Thailand ทิ้งท้ายด้วยว่า ปัจจุบัน World ทำงานกับหน่วยงานภาครัฐอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส) หรือ PDPC ที่ทำหน้าที่กำกับดูแลเรื่องการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ภายใต้พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 เพื่อดูขอบเขตว่าอะไรทำได้หรือไม่ได้ เพราะสิ่งที่ World กำลังทำอยู่ เป็นเรื่องใหม่มากในประเทศไทย...
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.prachachat.net/ict/news-1877681
เพิ่มเติม
สคส.เบรกสแกนม่านตาแลกคริปโต ดึงหน่วยงานรัฐถกด่วน สั่งพิสูจน์ระบบทำลายข้อมูลก่อนใช้จริง ชี้เทคโนโลยีชีวมิติต้องปลอดภัย ห้ามใช้ผิด-ห้ามละเมิดสิทธิ
พ.ต.อ.สุรพงศ์ เปล่งขำ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) หรือ PDPC เปิดเผยว่า ปรากฏการณ์ที่ประชาชนจำนวนมากเข้าร่วมกิจกรรมสแกนม่านตาเพื่อแลกรับสินทรัพย์ดิจิทัล สร้างคำถามใหญ่ในสังคมว่า ข้อมูลชีวมิติ (biometric data) ที่ถูกนำมาใช้นั้นปลอดภัยเพียงใด ถูกเก็บนานเท่าไร และจะถูกส่งต่อไปใช้อย่างไร ในเมื่อข้อมูลม่านตาถือเป็น ข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหว ที่อยู่ภายใต้การคุ้มครองของ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ซึ่งได้ประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเมื่อวันที่ 22 ก.ค.68 ที่ผ่านมา และให้บริษัทชี้แจงแสดงหลักฐานเพิ่มเติมมานั้น
วานนี้ (4 ก.ย.68) ทาง สคส. ได้เร่งประชุมเข้มหารือด่วนร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรทั้ง ก.ล.ต., สอท., ปอท., รวมถึงโฆษก และกรรมาธิการ กมธ.คุ้มครองผู้บริโภค และภาคเอกชน พร้อมด้วยทีมงานศูนย์เฝ้าระวังการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล (PDPC Eagle Eye) ร่วมประชุม โดยเชิญบริษัทเข้าชี้แจงแสดงหลักฐานตามที่แจ้งให้แสดงเพิ่มเติม เพื่อสกัดความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัวในยุคดิจิทัล
สาระสำคัญของการหารือ คือ การรับฟัง และพิจารณาแนวทางมาตรการคุมเข้ม ครอบคลุมทั้งการเก็บ การใช้ และการตรวจสอบข้อมูลชีวมิติ โดยเฉพาะข้อมูลม่านตา ที่ถูกจัดว่าเป็นข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหวขั้นสูง นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้หยิบยก เรื่องเพื่อพิจารณา ขึ้นมาเป็นมาตรการเร่งด่วน เพื่อป้องกันไม่ให้ข้อมูลชีวมิติถูกนำไปใช้ผิดทาง โดยกำหนดแนวทางสำคัญ 3 ด้าน ได้แก่
1.มาตรการจัดเก็บและทำลายข้อมูล: ตรวจสอบว่ามีกระบวนการลบหรือทำลายข้อมูลม่านตาหลังหมดวัตถุประสงค์หรือไม่ พร้อมให้ส่งเอกสารหลักฐานยืนยันต่อ สคส.
2.มาตรการควบคุมการรับจ้างสแกนม่านตา: แจ้งเตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อมิจฉาชีพ โดยย้ำว่าค่าจ้างอาจเป็นเงินผิดกฎหมาย และให้หน่วยงานจัดส่งหลักฐานประกอบการตรวจสอบ
3.มาตรการความปลอดภัยและการขอความยินยอม: ผู้ให้บริการต้องเปิดเผยขั้นตอนการทำงานของเครื่องมือ การป้องกันความเสี่ยง และชี้แจงอย่างโปร่งใส เช่น ข้อมูลม่านตาจะถูกแปลงเป็นรหัสใด ใช้ทำอะไร และแจ้งวัตถุประสงค์อย่างละเอียด และชัดเจน
ทั้งนี้ เนื่องจากตามประเด็นที่ 1 การแสดงหลักฐานยังไม่ชัดเจนเพียงพอ ที่ประชุมจึงได้แนะนำให้มีการพิสูจน์หลักฐาน ซึ่งบริษัทขอกำหนดวันแสดงหลักฐานต่อสาธารณชนอีกครั้ง เพื่อความโปร่งใส และความจริงใจในการให้สังคมได้พิสูจน์ ถึงมาตรการในการลบทำลายของบริษัท บริษัทจึงยินดีที่จะชะลอการดำเนินการสแกนม่านตาที่เป็นประเด็นกังวลถึงความไม่ปลอดภัยไว้ก่อนจนถึงกำหนดวันที่จะแสดงหลักฐาน และพิสูจน์มาตรการลบทำลายดังกล่าวให้ชัดเจนต่อสังคมต่อไป
พ.ต.อ.สุรพงศ์ กล่าวว่า เทคโนโลยีชีวมิติจะต้องไม่ถูกใช้ละเมิดสิทธิ และทุกการเก็บข้อมูลต้องอยู่ภายใต้ความยินยอมจริง กรณีนี้จะเป็นหมุดหมายสำคัญ ในการกำกับดูแลการใช้ Digital ID, AI-based KYC และ Blockchain-based Identity ที่เริ่มขยายตัวในระบบเศรษฐกิจดิจิทัล
"กรณีสแกนม่านตากำลังกลายเป็น บททดสอบสำคัญถึงมาตรการ และความสมดุลของกฎหมาย PDPA ว่าจะสามารถปกป้องสิทธิประชาชนท่ามกลางกระแสเทคโนโลยีใหม่ได้จริงหรือไม่ ขณะเดียวกันยังสะท้อนความจำเป็นของการสร้าง กลไกร่วมรัฐ-เอกชน ในการตรวจสอบและกำกับดูแล เพื่อรักษาสมดุลระหว่าง นวัตกรรมดิจิทัล กับ สิทธิความเป็นส่วนตัว ทั้งนี้ ทาง สคส. ยังคงมีความกังวลถึงความปลอดภัยของข้อมูลฯ โดยให้ทางผู้ให้บริการเร่งดำเนินการเพื่อพิสูจน์ความโปร่งใสในการทำลายข้อมูลฯ ต่อไป" พ.ต.อ.สุรพงศ์ กล่าว
Cr. https://mgronline.com/cyberbiz/detail/9680000084951