พรรคประชาชน สนใจทุกข์ร้อนของประชาชน จริงหรือ ?

ครั้งที่แล้ว ขีดเส้นเรื่องแก้ ม 112 ครั้งนี้ ขีดเส้นเรื่อง จะไม่เป็นรัฐบาล
การสร้างเงื่อนไข แต่ไม่ปรับตามสถานการณ์ อาจนำไปสู่โอกาสของฝ่ายตรงข้าม
แดงรวมน้ำเงิน ได้รัฐบาลแบบเดิมให้ประชาชน

พรรคประชาชนสนใจการเลือกตั้งใหม่ อาจเป็นเพราะไม่มีแคนดิเดตนายก
และทำงานร่วมกับพรรคอื่นไม่ได้ ส่งผลให้ไม่มีผลงาน เพราะไม่ได้กุมอำนาจรัฐ
แต่หมกมุ่นกับข้อ กม ที่อยากแก้ไข ที่ต้องระวัง คือ มองรากฐานของปัญหา
ว่ามาจาก กม ซึ่งเป็นมุมมองแบบมิติเดียว
 
เมื่อสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา เกิดขึ้น "มีลุงไม่มีเรา" ต้องทบทวน
เพราะตอนนี้ ความรู้ความเข้าใจทางการทหารเป็นสิ่งสำคัญ
พรรคประชาชนต้องยอมรับว่า มุมมอง ทหารมีไว้ทำไม
มาจากอดีต ที่บริบทต่างจากปัจจุบัน
 
พรรคประชาชนควรกล้าจัดตั้งและเป็นฝ่ายรัฐบาล เพราะ
1. การเลือกตั้งบ่อยเกินไป สูญเสียงบประมาณ
2. หากพรรคประชาชนมีผลงานจากการเป็นรัฐบาล จะมีอะไรให้คุยในการเลือกตั้งครั้งถัดไป
3. อย่าเพิ่งมั่นใจเรื่องชัยชนะการเลือกตั้ง โดยท้าให้ยุบสภา เพราะ
3.1 ครั้งนี้ไม่มีพิธา นักบริหารที่มีเสน่ห์ทางการเมือง
3.2 พรรคประชาชนเองในบทบาทฝ่ายค้าน ยังถูกตั้งคำถามเรื่องงานค้านไม่สุดซอย
3.3 มีพรรคน้องใหม่ ที่ทัศนะเป็นกลาง เช่น พรรคของ ดร เอ้ สุชัชวีย์
ประชาชนมีแนวโน้มไม่ชอบพรรคแนวทางการเปลี่ยนแปลงที่สุดโต่งและพรรคที่ไร้ผลงานในการพัฒนาประเทศ
ที่ส่งผลให้ชีวิตของพวกเขาดีขึ้น
 
นายก มาจากไหน ?
ไม่ใช่พรรคเพื่อไทย เพราะความนิยม ลดต่ำมาก
ไม่ใช่ผู้ที่มีคดีติดตัว
ดังนั้น จึงต้องเป็นคนนอก หรือ จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์
คำถามจากประชาชนคือ ทำไมเราต้องจ่ายงบจากภาษีอีกพันล้านบาท เลือกตั้ง
เพื่อพรรคที่ไม่ได้อ่านรัฐธรรมนูญให้แตกฉาน จนเป็นที่มาไม่มีนายกสำรองอยู่ในมือ

หากพรรคส้ม พลาดการจัดตั้งรัฐบาลไปเรื่อยๆ นั่นจะไม่เรียกว่า ผิดพลาด หรือ ถูกสถานการณ์ทำร้าย
แต่อาจเรียกว่า ขาดศักยภาพที่จะแก้สถานการณ์ ยังผลให้เกิดความไม่มั่นใจเมื่อไปบริหารประเทศ
ซึ่งเต็มไปด้วยงานที่ต้องอาศัยความยืดหยุ่น ไหวพริบ ในการแก้ไขสถานการณ์ การเจรจาผสานผลประโยชน์
ไม่ใช่สร้างเงื่อนไข คล้ายผูกเชือก มัดตรึง จนขาดความคล่องตัว
 
การวางเงื่อนไขว่าจะเป็นแค่ฝ่ายค้านและโหวตให้ "ใครก็ได้" ที่ทำตามเงื่อนไข
เท่ากับตีกรอบจำกัดบทบาทความก้าวหน้าของตนเองในฐานะอาชีพนักการเมืองที่จะแสดงฝีมือบริหารประเทศ
และใครก็ได้ รวมถึง พรรคที่เสื่อมความนิยมจากประชาชนไปแล้ว ดูจากผลโพล
 
ณ ขณะนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การมีผู้นำรุ่นใหม่ เพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งไทย กัมพูชา และปัญหาเศรษฐกิจ
 
ส่วนการแก้รัฐธรรมนูญน่าจะเป็นเรื่องที่ทำภายหลัง และต้องมีการอภิปรายอย่างกว้างขวาง
ไม่เช่นนั้น จะเป็นการแก้ไขเพื่อช่วยให้นักการเมืองมีอาชีพที่มั่นคงขึ้น
แต่ ณ ปัจจุบัน ควรดูปัญหาที่ประชาชนกำลังเผชิญ
ซึ่งควรให้ความสำคัญก่อน ไม่ควรเล่นเกมส์ยาวจนประเทศที่ตกอยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยง ขาดผู้นำที่มีคุณภาพ
หากพุ่งประเด็นไปที่การเลือกตั้ง ปัญหาสำคัญๆของประเทศต้องรอต่อไปอีก 3-8 เดือน
กว่าจะได้รับการแก้ไข การตัดสินใจนั้นจะง่ายมาก หากเอาความทุกข์ร้อนของประชาชนเป็นที่ตั้ง

น่าเสียดาย หากพรรคการเมืองจะมองแต่ปัญหาในสภา
แต่ไม่ได้มองปัญหานอกสภา
จนรู้สึกมากพอ ที่จะเสียสละตนเอง
เมื่อความเสียสละนั้นเกิดผลดีต่อประชาชน
ประชาชนย่อมมองเห็นนักการเมืองเหล่านั้นอยู่ในหัวใจ

การเป็นฝ่ายค้าน ไม่ใช่การเสียสละ แต่เป็นการปล่อยให้ประชาชน
อยู่ภายใต้รัฐบาลที่พวกเขาไม่อยากได้ สะท้อนออกมาจากคะแนนเสียงเลือกตั้งและผลโพล
สองปีประชาชนได้อะไร จากการจ่ายงบประมาณไปกับการเลือกตั้งหลักพันล้านบาท
ประชาชนมอบคะแนนเสียงมากที่สุดเพื่อให้มาเป็นรัฐบาล
แต่ต้องยอมรับว่า นายกรัฐมนตรี ไม่อาจมาจากพรรคที่ได้รับคะแนนเสียงมากที่สุดได้
เพราะพลาด เรื่องหุ้นสื่อ มีจุดอ่อนให้ถูกโจมตี และพลาด เรื่องไม่เลือกแคนดิเดตนายกสำรอง
จึงไม่ควรนำงบประมาณเลือกตั้ง ไปเคลียร์ข้อผิดพลาด โดยให้คนทั้งประเทศเลือกตั้งใหม่
แต่ควรทำงานร่วมกับพรรคอื่นให้ได้

หากพรรคส้มเป็นฝ่ายรอ หรือ ไม่มีบทบาทนำในการจัดตั้งรัฐบาล
พรรคแดง น้ำเงิน ซึ่งรู้ว่าตนเสียเปรียบในการเลือกตั้ง จะไม่เลือกยุบสภา
แต่เลือกที่จะหาพรรคร่วม ผลคือ ประชาชนต้องอยู่ภายใต้วิธีการบริหารของกลุ่มคนชุดเดิมไปอีกหลายเดือน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่