Akwanshi Stone Monoliths หรือหินโมโนลิธแห่งอควานชี ซึ่งเป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ในทวีปแอฟริกา โดยเฉพาะในภูมิภาคครอสริเวอร์ (Cross River) ทางตะวันออกเฉียงใต้ของไนจีเรียและตะวันตกเฉียงใต้ของแคเมอรูน อาจยังไม่แพร่หลายในประเทศไทย เนื่องจากเป็นหัวข้อเฉพาะทางที่เน้นวัฒนธรรมและโบราณคดีของแอฟริกา ซึ่งอาจไม่ได้รับความสนใจในวงกว้างในสื่อไทย
Akwanshi (หรือ
Atal ในภาษาท้องถิ่นของชาว Ejagham) แปลว่า "คนตายในพื้นดิน" เป็นหินโมโนลิธที่แกะสลักจากหินบะซอลต์หรือหินปูน ซึ่งพบในกว่า 30 ชุมชนในเขตอิโคม (Ikom) รัฐครอสริเวอร์ ไนจีเรีย
หินเหล่านี้มีความสูงตั้งแต่ 0.3 ถึง 1.8 เมตร (บางก้อนสูงถึง 3 เมตร) และมักจัดวางเป็นวงกลมโดยหันหน้าเข้าหากัน คล้ายกับสโตนเฮนจ์ในอังกฤษ
เชื่อกันว่าเป็นอนุสรณ์ของบรรพบุรุษ หรืออาจเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมทางศาสนาและดาราศาสตร์ ใช้เป็นสถานที่สำหรับประกอบพิธีกรรม เช่น การบูชาเทพเจ้าแห่งการเกษตร ความอุดมสมบูรณ์ และสงคราม
ชาว Ejagham และ Bakor ถือว่า
Akwanshi เป็นสัญลักษณ์ของการเชื่อมโยงกับบรรพบุรุษ โดยเชื่อว่าวิญญาณของผู้ตายสิงสถิตอยู่ในหินเพื่อให้คำแนะนำและปกป้องชุมชน
หินเหล่านี้มักใช้ในพิธี
Ikom New Yam Festival ซึ่งเป็นงานเฉลิมฉลองการเก็บเกี่ยวประจำปี โดยมีการทาสีหินด้วยสีที่มีความหมาย เช่น ขาว (สันติภาพ) น้ำเงิน (ความอุดมสมบูรณ์) และแดง (ความกล้าหาญ) โดยเด็กก่อนวัยเจริญพันธุ์และผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้ทาสี
หินบางก้อนถูกย้ายไปยังใจกลางหมู่บ้านเพื่อใช้ในพิธีกรรมหรือเป็นสถานที่ท่องเที่ยว แต่บางส่วนถูกทิ้งร้างเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางศาสนา เช่น การนับถือศาสนาคริสต์
Akwanshi ถูกบันทึกครั้งแรกในปี 1903 โดย Charles Partridge นักมานุษยวิทยาอังกฤษ และต่อมามีการศึกษาเพิ่มเติมโดย Philip Allison ในช่วงทศวรรษ 1960 คาดว่าหินเหล่านี้มีอายุตั้งแต่ 200 ปีก่อนคริสตกาลถึงคริสต์ศตวรรษที่ 16-17 ซึ่งบางส่วนอาจเก่าแก่ถึงสมัยวัฒนธรรมน็อก (Nok Culture)
เดิมมีหินโมโนลิธประมาณ 400-450 ก้อน แต่ปัจจุบันเหลือน้อยกว่า 250 ก้อน เนื่องจากการโจรกรรม ไฟไหม้ป่า และการขาดการดูแลรักษา
Akwanshi ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นอนุสรณ์สถานแห่งชาติของไนจีเรีย และอยู่ในรายชื่อมรดกที่ใกล้สูญหายของ World Monuments Fund เนื่องจากภัยคุกคามจากสภาพแวดล้อม (เช่น ฝนกรด ไฟป่า) และการค้าสิ่งของโบราณในตลาดสากล
มีความพยายามจากหน่วยงาน เช่น Factum Foundation ในการสำรวจและอนุรักษ์โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อผลักดันให้
Akwanshi ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของ UNESCO
ปัจจุบันไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนว่ามีสารคดีเกี่ยวกับ Akwanshi Stone Monoliths เผยแพร่อย่างแพร่หลายในประเทศไทย อาจเนื่องจากหัวข้อนี้เป็นเรื่องเฉพาะทางและยังไม่ได้รับความสนใจในวงกว้าง
หมายเหตุ : เมื่อก่อนเคยตั้งกระทู้ถามถึงเรื่องนี้ ปัจจุบัน AI มีการช่วยสรุปสารคดีของภาษาต่างประเทศให้เป็นภาษาไทย
หินศักดิ์สิทธิ์จากทวีปแอฟริกา Atal ( Akwanshi stone monoliths )
Akwanshi Stone Monoliths หรือหินโมโนลิธแห่งอควานชี ซึ่งเป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ในทวีปแอฟริกา โดยเฉพาะในภูมิภาคครอสริเวอร์ (Cross River) ทางตะวันออกเฉียงใต้ของไนจีเรียและตะวันตกเฉียงใต้ของแคเมอรูน อาจยังไม่แพร่หลายในประเทศไทย เนื่องจากเป็นหัวข้อเฉพาะทางที่เน้นวัฒนธรรมและโบราณคดีของแอฟริกา ซึ่งอาจไม่ได้รับความสนใจในวงกว้างในสื่อไทย
Akwanshi (หรือ Atal ในภาษาท้องถิ่นของชาว Ejagham) แปลว่า "คนตายในพื้นดิน" เป็นหินโมโนลิธที่แกะสลักจากหินบะซอลต์หรือหินปูน ซึ่งพบในกว่า 30 ชุมชนในเขตอิโคม (Ikom) รัฐครอสริเวอร์ ไนจีเรีย
หินเหล่านี้มีความสูงตั้งแต่ 0.3 ถึง 1.8 เมตร (บางก้อนสูงถึง 3 เมตร) และมักจัดวางเป็นวงกลมโดยหันหน้าเข้าหากัน คล้ายกับสโตนเฮนจ์ในอังกฤษ
เชื่อกันว่าเป็นอนุสรณ์ของบรรพบุรุษ หรืออาจเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมทางศาสนาและดาราศาสตร์ ใช้เป็นสถานที่สำหรับประกอบพิธีกรรม เช่น การบูชาเทพเจ้าแห่งการเกษตร ความอุดมสมบูรณ์ และสงคราม
ชาว Ejagham และ Bakor ถือว่า Akwanshi เป็นสัญลักษณ์ของการเชื่อมโยงกับบรรพบุรุษ โดยเชื่อว่าวิญญาณของผู้ตายสิงสถิตอยู่ในหินเพื่อให้คำแนะนำและปกป้องชุมชน
หินเหล่านี้มักใช้ในพิธี Ikom New Yam Festival ซึ่งเป็นงานเฉลิมฉลองการเก็บเกี่ยวประจำปี โดยมีการทาสีหินด้วยสีที่มีความหมาย เช่น ขาว (สันติภาพ) น้ำเงิน (ความอุดมสมบูรณ์) และแดง (ความกล้าหาญ) โดยเด็กก่อนวัยเจริญพันธุ์และผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้ทาสี
หินบางก้อนถูกย้ายไปยังใจกลางหมู่บ้านเพื่อใช้ในพิธีกรรมหรือเป็นสถานที่ท่องเที่ยว แต่บางส่วนถูกทิ้งร้างเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางศาสนา เช่น การนับถือศาสนาคริสต์
Akwanshi ถูกบันทึกครั้งแรกในปี 1903 โดย Charles Partridge นักมานุษยวิทยาอังกฤษ และต่อมามีการศึกษาเพิ่มเติมโดย Philip Allison ในช่วงทศวรรษ 1960 คาดว่าหินเหล่านี้มีอายุตั้งแต่ 200 ปีก่อนคริสตกาลถึงคริสต์ศตวรรษที่ 16-17 ซึ่งบางส่วนอาจเก่าแก่ถึงสมัยวัฒนธรรมน็อก (Nok Culture)
เดิมมีหินโมโนลิธประมาณ 400-450 ก้อน แต่ปัจจุบันเหลือน้อยกว่า 250 ก้อน เนื่องจากการโจรกรรม ไฟไหม้ป่า และการขาดการดูแลรักษา
Akwanshi ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นอนุสรณ์สถานแห่งชาติของไนจีเรีย และอยู่ในรายชื่อมรดกที่ใกล้สูญหายของ World Monuments Fund เนื่องจากภัยคุกคามจากสภาพแวดล้อม (เช่น ฝนกรด ไฟป่า) และการค้าสิ่งของโบราณในตลาดสากล
มีความพยายามจากหน่วยงาน เช่น Factum Foundation ในการสำรวจและอนุรักษ์โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อผลักดันให้ Akwanshi ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของ UNESCO
ปัจจุบันไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนว่ามีสารคดีเกี่ยวกับ Akwanshi Stone Monoliths เผยแพร่อย่างแพร่หลายในประเทศไทย อาจเนื่องจากหัวข้อนี้เป็นเรื่องเฉพาะทางและยังไม่ได้รับความสนใจในวงกว้าง
หมายเหตุ : เมื่อก่อนเคยตั้งกระทู้ถามถึงเรื่องนี้ ปัจจุบัน AI มีการช่วยสรุปสารคดีของภาษาต่างประเทศให้เป็นภาษาไทย