พระ​พุทธ​ทาส​บอกว่า​ โลก​นี้​มีแต่​ คนบ้า​

กระทู้คำถาม
โลกนี้มีแต่คนบ้า
จึงต้องพึ่งธรรมะของพระพุทธเจ้า
.
…. “ ที่ว่า โลกนี้เต็มไปด้วยสิ่งที่จะทําให้ตายอยู่ตลอดเวลานี้

ก็ได้แก่สิ่งที่กล่าวแล้ว คือความประมาท คือความไม่รู้, คือกิเลส ตัณหา อุปาทาน ของคนในโลกที่มากขึ้น

จนทําให้โลกนี้เต็มไปด้วยคนบ้า คือคนตายแล้ว นทางวิญญาณ. คนที่เราเรียกกันว่า “คนบ้า”

ในที่นี้ ก็คือคนที่ตายแล้วในทางวิญญาณ คือในทางจิตทางใจนั้นไม่มีอะไรเหลืออยู่ ไม่มีสาระอะไรเหลืออยู่

จึงเรียกว่าเป็นคนตายแล้ว
…. โลกนี้เต็มไปด้วยคนบ้า คือคนที่ตายแล้วในทางจิตทางวิญญาณ :

แล้วพุทธบริษัทของพระพุทธเจ้าจะอยู่ร่วมกันในโลกนี้กับเขาได้อย่างไร?

ก็ต้องพึ่งธรรมะของพระพุทธเจ้า ที่ทําความไม่ตายดังกล่าวแล้ว

ก็คือไม่ต้องเป็นบ้าและไม่ต้องตาย นี่แหละ คือข้อที่จะต้องรับศึกษา ประพฤติปฏิบัติ ให้ลุถึงความไม่ตาย,

กลายเป็นคนที่ไม่ตาย: เพียงแต่ศึกษาและปฏิบัติอยู่นี้ยังไม่พอ มันยังตายได้, ยังศึกษาเล่าเรียนอยู่นี้มันยังตายได้; เผลอนิดเดียวมันก็ตายด้วยความประมาท ด้วยความอวดดี

ด้วยความยกหูชูหาง ที่มีความรู้มากขึ้นนั่นเอง มันก็ตายไป เพราะการศึกษาเล่าเรียนที่เรียกว่าดีนั่นเอง

…. ถึงแม้การปฏิบัติก็เหมือนกัน เมื่อยังปฏิบัติอยู่มันยังไม่พ้นตาย ,

แต่เผลอเข้ามันอาจจะตายได้ เพราะการปฏิบัติที่ยึดมั่นถือมั่น, เป็นการปฏิบัติของเราที่ดีกว่าของใครอย่างนี้เป็นต้น ;

มันก็กลายเป็นคนตายเพราะการปฏิบัตินั้น เพราะฉะนั้น ต้องเรียนให้ถูกวิธี ต้องปฏิบัติให้ถูกวิธี จนประสบความสําเร็จในเรื่องนี้

…. บรรลุถึงธรรมะที่เป็นความไม่ตายโดยแท้จริง คือธรรมะชนิดที่ทําให้หมดความยึดมั่นถือมั่นว่าตัวกู ว่าของกู นั่นเอง.

ถ้าถึงธรรมะข้อนี้แล้ว “ ก็ไม่มีตัวกูหรือของกูเหลืออยู่สําหรับที่จะตาย”.

นี้เรียกว่า เราได้กลายเป็น “คนไม่ตาย”; ไม่ใช่เป็นแต่เพียงเล่าเรียนอยู่ หรือปฏิบัติอยู่ หรือทําอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ : นั้นยังเป็นคนตายเมื่อไรก็ได้, นี่แหละคือความไม่ประมาทอันแท้จริง
.
โลกเป็นอย่างไรก็ตาม จิตใจต้องทุกข์ไม่เป็น
…. เราจะรอให้โลกนี้หมุนกลับไปสู่ความสงบโดยลําพังของโลกเองนั้นมันก็ไม่ไหว ;

มันยังอีกนานนัก เราตายแล้วตายอีกกี่ร้อยชาติมันก็ยังจะไม่ถึงยุคแห่งความสงบนั้นด้วยซ้ำไป ฉะนั้น ต้องจัดการกันที่นี่และเดี๋ยวนี้ ให้จิตใจกลายเป็นสิ่งที่มีความทุกข์ไม่ได้อีกต่อไป.
โลกนี้จะเป็นอะไรก็เป็นไป,
แต่ว่า “จิตใจ” นี้
ทุกข์กับเขาไม่เป็นก็พอแล้ว,
ทุกข์กับเขาไม่ได้ก็พอแล้ว
…. ถ้าเรียนธรรมะในพระพุทธศาสนา ก็จงเรียนเพื่อความเป็นอย่างนี้เถิด. ถ้าจะปฏิบัติในธรรมะในพระพุทธศาสนา ก็จงปฏิบัติเพื่อความเป็นอย่างนี้ เถิด ถ้าได้บรรลุธรรมะอะไรในการปฏิบัตินั้น ก็ให้ได้บรรลุธรรมะ คือความเป็นอย่างนี้เถิด อย่าให้เป็นอย่างอื่นเลย
…. จงระมัดระวังรักษาสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเราให้ดี ไม่ว่าทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย หรือทางใจ เกิดขึ้นอย่างไร เมื่อไร, ก็ต้อง “มีสติ” ที่เพียงพอสําหรับจะไม่ให้เผลอตัว ปรุงขึ้นมาเป็นความยึดมั่นถือมั่น; เป็นผู้ปฏิบัติชนิดที่ได้เข้าถึงธรรมชาติอันบริสุทธิ์ คือ ธรรมชาติที่ปราศจากความยึดมั่นถือมั่นอยู่ตลอดเวลา ทําตนเป็นคนไม่ยึดมั่นถือมั่นอย่างเดียวก็พอแล้ว ; สิ่งใดเป็นความยึดมั่นถือมั่น ก็ศึกษาให้เข้าใจ, แล้วอย่าให้สิ่งชนิดนี้เกิดขึ้นมาได้ ให้อยู่ด้วยอาการปกติตามธรรมชาติที่บริสุทธิ์มาแต่เดิม. นี่คือ สติ หรือผลของการใช้สติ ระวังไม่ให้เกิดการปรุงแต่งใหม่ๆ ขึ้นมา, ที่เรียกว่า กิเลส ตัณหา และความทุกข์ นี้ไม่ใช่ธรรมชาติเดิม, นี้ไม่ใช่ธรรมชาติที่บริสุทธิ์, เป็นของใหม่ : ปรุงแต่งขึ้นมาด้วยความเผลอสติ...”
.


พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยายชุมนุมล้ออายุ หัวข้อเรื่อง “เครื่องรางกันบ้า” บรรยายเมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๑๑ กัณฑ์ค่ำ บนเขาพุทธทอง จากหนังสือชุดธรรมโฆษณ์ เล่มชื่อว่า “ชุมนุมล้ออายุ เล่ม ๑” หน้า ๒๘๘-๒๘๙,๓๐๗-๓๐๘
##  ท. ส. ปัญญาวุฑโฒ – รวบรวม. ##
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่