เจ๊ไฝ #softpower หรือแค่”ฉวยโอกาส“??

ไหนๆดราม่าเจ๊ไฝก็ออกประเด็นนอกทะเลไปไกล ไปดราม่าถึงเรื่องราคา ผมก็ขออนุญาตใช้โอกาสนี้ในการแสดงความเห็น-สำรวจมุมมองหลายๆท่านเรื่องราคาเช่นกันครับ

ปล.เนื้อหาทั้งหมดมาจากความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนเท่านั้น และเนื้อหาค่อนข้างยาว เพราะมีการเปรียบเปรยให้เห็นภาพ

-เข้าเนื้อหา-

สตอรี่ย่อๆเลย คือเจ๊ขายอาหาร ลงกระทะเองทุกออเดอร์มาตลอด40ปีเต็ม ซึ่งมันเป็นเรื่องดี ที่การเลือกวัตถุดิบและการทำอาหารในทุกๆจานจะมีความพิถีพิถัน และรสชาติในแบบเฉพาะของตัวเอง และอีกสิ่งหนึ่งที่เป็นเอกลักษณ์ให้คนได้จดจำกัน คือแว่นกันลมอันโตๆ ที่เป็นคาแรคเตอร์ของเจ๊แกโดยเฉพาะ ที่ไม่มีใครเหมือน ทั้งหมดทั้งมวล ได้เป็นปัจจัยให้เจ๊ไฝได้กลายเป็นทั้งSoft power และเป็น iconic ของสตรีทฟู๊ดไทยจนได้รับดาวมิชลินฯ
แต่สิ่งที่ผมเองคิดมาตลอด คือเรื่องของราคาที่ไม่สมเหตุสมผลนัก ถ้าจะบอกว่า การลงมือทำเองตลอด40ปี มันคือสตอรี่ที่ควรค่าพอแก่การตั้งราคาสูงแบบนั้น ส่วนตัวผมนั้นไม่เห็นด้วยสักเท่าไหร่ ผมอยากบอกตรงนี้ว่า ถ้าเจ๊ไฝบังเอิญได้ดาว แล้วถ้าย่าผมยังอยู่ ย่าของผมเองก็คงมีโอกาสที่จะบังเอิญได้ดาวมิชลินเหมือนกัน เพราะเขาก็ขายกับข้าวย่านตลาดพลู ทำเองทุกอย่างมาเกือบ30ปี(ถ้าเขายังไม่เสียก็ถึง40ปีแล้ว) ถ้าเขายังอยู่ ก็คงมีโอกาสที่จะเป็น1กระแสในฝั่งนั่นเช่นกันนั่นแหละ ที่ผมโตมา ผมก็โตมาด้วยเม็ดเงินที่ย่าผมขายกับข้าวพวกนั้นเลย

แล้วความสมเหตุสมผลของผู้เขียนต้องการจะสื่อคืออะไร??
ผู้เขียนขอยกตัวอย่างจากกรณีกระเป๋าหรือสินค้าแบรนด์เนมหลายๆเจ้า แต่จะขอยกมาเจ้านึงอย่าง Christian Dior ที่มีประวัติมายาวนานถึงชั่วอายุคน และได้ชื่อว่าเป็น Haute Couture(โอต์ กูตูร์) เรียกได้ว่าเป็นการตัดเย็บชั้นสูง หรือเรียกให้เห็นภาพง่ายๆ คือชั้นบรมครูที่ไทยเราเรียกกัน และโอต์ กูตูร์นั้น ถือเป็นการตัดเย็บ เป็นงานศิลป์แขนงหนึ่งที่ใช้กับราชวงศ์ในหลายๆราชวงศ์ ทั้งๆที่ผู้ก่อตั้งเองแบรนด์เองก็ไม่ได้มีฐานะที่ร่ำรวยมาก่อน แต่ด้วยพรสวรรค์ ถึงได้ไปเข้าตาชนชั้นสูงเข้า นั่นจึงไม่แปลกใจในมูลค่าของสตอรี่ และคุณค่าของตัวแบรนด์ ว่าทำไมมูลค่าสินค้า ถึงได้สามารถตั้งสูงลิ่วในขณะที่ต้นทุนด็ไม่ได้มากมายได้

พอดูมาทั้งหมดแล้วเทียบกับตัวเจ๊ไฝเอง ผมไม่เห็นอิมแพคของสตอรี่ของเขาเลย ไม่มีเมนูที่สร้างสรรค์เมนูขึ้นมาใหม่เองเป็นSignature เหมือนสินค้าแบรนด์ดังๆที่ได้ลงทุน ลงมันสมองมาอย่างหนักเพื่อให้ได้Productใหม่มาสักชิ้น ตรงนี้อย่าลืมว่าไข่เจียวปูไม่ได้มีเจ๊คนเดียวที่ทำ ไม่ได้มีอะไรพิเศษ ไม่ได้มีความเป็นศิลปะสร้างสรรค์สักเท่าไหร่ ราคาก็พอๆกับFine cuisine ดีไม่ดี Fine cousineอาจจะทำได้ดีกว่าในหลายๆด้านก็ได้..
และก็อาจจะเพราะยุคนี้เป็นยุคที่สื่อโซเชียลเป็นกระแสหลัก แค่ทำอะไรเด่นก็เป็นไวรัลได้ ผู้คนเลยอาจจะไม่ได้มองคุณค่าที่แท้จริง แต่ไปมองที่การใช้โอกาสกอบโกยจากสิ่งที่ได้มาอย่างฉาบฉวย และไม่ได้มีความทรงพลังมากพอเหมือนแบรนด์ที่กล่าวมา

สรุปมาทั้งหมด แพงเพราะดี หรือเพราะแพงมันเลยดี? (QuoteจากHunger games)

และสุดท้ายแล้ว เรื่องนี้ มันจะเป็นแรงกระเพื่อมเล็กๆที่ทำให้คนคิดจะเลียนแบบจนเป็นบรรทัดฐานแย่ๆด้วยตรรกะที่ว่า "เขามีสิทธิ์จะตั้งราคาแบบไหนก็ได้ เพราะการที่คุณว่าแพงเพราะคุณไม่ใช้Targetของเขา" หรือไม่?

แล้วคุณที่อ่าน คิดเช่นไรกันบ้าง ลองแชร์ได้ครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่