นายแพทย์​มนู​ แฉ​วัดพระบาทน้ำพุ​

“ถ้าผู้ป่วยหายดี ยอดบริจาคจะลดลง”ในคลิปสัมภาษณ์ นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ เปิดเผยประสบการณ์จากช่วงปี 2546-2547 ที่คุณหมอทำงานร่วมกับวัดพระบาทน้ำพุในฐานะแพทย์อาสา และเล่าถึงการทำงานของพยาบาลต่างชาติชาวสวิสชื่อลิซ่า เลสลีย์ (Lisa Lesley) ซึ่งเป็นตัวละครสำคัญ

จู่ๆ วัดสั่งให้หยุดจ่ายยา ARV โดยไม่มีเหตุผลทางการแพทย์ที่ชัดเจน ยาที่เหลือถูกทำลาย ลิซ่าและทีมอาสาสมัครถูกกลั่นแกล้ง ถูกข่มขู่ถึงชีวิตว่า “ถ้าไม่หยุด จะถูกฆ่า”

นพ.มนูญระบุว่าเหตุผลที่วัดให้คือ “ถ้าผู้ป่วยหายดี ยอดบริจาคจะลดลง” เพราะภาพของผู้ป่วยที่น่าสงสารช่วยดึงเงินบริจาคจากประชาชนได้มากกว่า

คุณหมอยังเล่าว่าผู้ป่วยบางคนถูกให้ยาแก้ปวดที่ทำให้ซึม แทนยาต้านไวรัส เพื่อรักษาภาพลักษณ์ “ป่วยหนัก” ซึ่งเป็นการจงใจละเลยการรักษา

🌻

ในยุคที่มนุษย์ยังใช้หินเป็นเครื่องมือ นักมานุษยวิทยา มาร์กาเร็ต มี้ด เคยกล่าวว่า สัญญาณแรกของอารยธรรมไม่ใช่ดาบหรือกำแพง แต่คือโครงกระดูกต้นขาที่หักแต่หายดี

มีเรื่องเล่าว่า นักศึกษาคนหนึ่งถามมี้ดในห้องเรียนว่า “อะไรคือสัญญาณแรกสุดของอารยธรรม (civilization) ในวัฒนธรรมโบราณ?” มี้ดตอบว่า “กระดูกต้นขา (femur) ที่หักแต่หายดี”

เธออธิบายว่าในโลกของสัตว์ ถ้ากระดูกต้นขาหัก สัตว์นั้นมักตายเพราะไม่สามารถล่าเหยื่อ หนีศัตรู หรือหาอาหารได้

แต่ในมนุษย์ ถ้ากระดูกหายดี แสดงว่าต้องมีคนอื่นช่วยดูแล รักษาแผล ให้อาหาร พาไปที่ปลอดภัย และอยู่เคียงข้างจนหาย ซึ่งอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือเดือน

นี่คือหลักฐานของ “การช่วยเหลือกัน” (compassion และ mutual aid) ที่ทำให้มนุษยชาติรอดมาได้จนถึงปัจจุบัน ไม่ใช่แค่ “การอยู่รอดของผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด” (survival of the fittest) อย่างเดียว

แม้ว่า anecdote นี้
จะไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจน
ว่ามี้ดได้กล่าวเช่นนี้จริงหรือไม่
แต่เรื่องราวนี้มักจะได้รับการหยิบยก
มาเอ่ยอ้างถึงเสมอ
หากมีการเอ่ยถึงความสำคัญ
ของการช่วยเหลือพึ่งพาอาศัยกัน

มันบอกเล่าเรื่องราวของความเมตตา
ความเห็นอกเห็นใจ ไม่เพิกเฉย
ต่อความเดือดร้อนของผู้อื่น
มันเป็นคุณสมบัติที่ดีเลิศ
ที่มนุษย์เราควรรักษาไว้

🌻

วันที่ใครบางคนหยุดเพื่อช่วยเพื่อนมนุษย์ที่ล้มลง ให้อาหาร พยุงจนยืนได้อีกครั้ง นี่คือสิ่งที่ทำให้เราแตกต่างจากสัตว์ และพาเรามาถึงวันนี้

ในวันที่วัดพระบาทน้ำพุ จังหวัดลพบุรี สถานที่ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นแสงสว่างของผู้ป่วยเอดส์และเอชไอวี มาวันนี้ความเมตตาการุณนั้นนั้นกลับถูกหักโค่นทิ้งลงอย่างโหดร้าย ผ่านเรื่องราวของลิซ่า เลสลีย์ พยาบาลชาวสวิสที่หัวใจของเธอถูกบดขยี้ เพียงเพราะเธออยากให้ผู้ป่วยมีชีวิตที่ดีขึ้น

ย้อนไปเมื่อปี 2546 ลิซ่าเดินทางจากสวิตเซอร์แลนด์มาถึงวัดพระบาทน้ำพุด้วยไฟในใจที่อยากช่วยเหลือ เธอเป็นพยาบาลที่มีประสบการณ์ 15 ปี มีความชำนาญด้านจิตวิทยาและปรัชญา แต่สิ่งที่เธอนำมานั้นยิ่งใหญ่กว่านั้น นั่นคือความเมตตาที่บริสุทธิ์

ในยุคนั้น ผู้ป่วยเอดส์ถูกตีตราว่าเป็น “คนบาป” ถูกครอบครัวทอดทิ้ง ลิซ่ายังมองเห็นพวกเขาเป็นมนุษย์ เธอลงมือทำงานทันที ใช้เงินส่วนตัวซื้อผ้าปูที่นอน ผ้าอ้อม อุปกรณ์การแพทย์ และอาหาร เพราะวัดขาดแคลน เธอนั่งคุยกับผู้ป่วยทีละคน เก็บข้อมูลประวัติอย่างละเอียด ทำแฟ้มเวชระเบียนเหมือนโรงพยาบาลชั้นนำ

เธอประสานกับโรงพยาบาลใกล้เคียงเพื่อจัดหายาต้านไวรัส HIV หรือ ARV ที่ดีที่สุด ยาที่ผลข้างเคียงต่ำ ช่วยให้ผู้ป่วยมีชีวิตยืนยาว เธอมอบยานี้ให้ผู้ป่วย 53 คน และติดตามอาการอย่างใกล้ชิดราวกับเป็นครอบครัว

เพียง 4 เดือน ความมหัศจรรย์เกิดขึ้น ผู้ป่วยที่เคยผอมแห้ง นอนติดเตียง น้ำหนักแค่ 30 กิโลกรัม เริ่มลุกขึ้นเดินได้ พวกเขายิ้มได้ กินข้าวได้มากขึ้น ดวงตาที่เคยว่างเปล่ากลับมามีแสงแห่งความหวัง ลิซ่าเล่าด้วยน้ำตาคลอในบทสัมภาษณ์เก่ากับ Sunday Times ปี 2551 ว่า เธอรู้สึกเหมือนได้มอบชีวิตใหม่ให้พวกเขา

แต่แล้วฝันร้ายก็มาเยือน เมื่อวัดสั่งให้หยุดจ่ายยาทันที โดยไม่มีเหตุผลทางการแพทย์ ยาที่เหลือถูกทำลายเหมือนขยะ แฟ้มเวชระเบียนและผลเอ็กซเรย์ที่เธอเก็บอย่างดีถูกยึดและหายไป

ลิซ่าถูกห้ามเข้าห้องทำงาน เธอถูกกลั่นแกล้ง—ยางรถจักรยานยนต์ถูกเจาะ และสุดท้ายถูกข่มขู่ถึงชีวิตว่า “ถ้าไม่หยุด จะถูกฆ่า”

เธออดทนต่อไปจนถึงเดือนพฤศจิกายน 2547 แต่สุดท้ายต้องเก็บข้าวของบินกลับสวิตเซอร์แลนด์ หัวใจแตกสลาย เมื่อได้ยินเหตุผลจากวัดว่า “ถ้าผู้ป่วยหายดี ยอดบริจาคจะลดลง” ผู้ป่วยที่เธออยากช่วยถูกจงใจทิ้งให้ทุกข์ทรมาน เพื่อรักษาภาพลักษณ์ “น่าสงสาร” ที่ดึงเงินบริจาคจากใจของผู้คนทั่วไทย

เรื่องราวนี้ถูกเล่าซ้ำในวันนี้จากปาก นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ แพทย์อาสาที่ทำงานร่วมกับลิซ่าในตอนนั้น

คุณหมอในการสัมภาษณ์กับช่อง 8 เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2568 โดยยอมรับด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า“ผมรู้สึกผิดที่เก็บความลับนี้มานาน 20 ปี เพราะกลัวอันตรายต่อตัวเองและครอบครัว ผมเชื่อว่าวัดมีเส้นสายที่ทำให้การตรวจสอบไม่เคยเกิดขึ้นจริง ”

คุณหมอเล่าว่าผู้ป่วยบางคนที่เริ่มหายดีถูกส่งตัวออกจากวัด เพื่อให้วัดยังดูเหมือนสถานที่ที่ดูแล “คนป่วยหนัก” เท่านั้น บางคนถูกให้ยาแก้ปวดที่ทำให้ซึม แทนยาต้านไวรัสที่ช่วยชีวิต

นพ.มนูญเรียกมันว่า “ตราบาป” ที่ติดอยู่ในใจ เพราะผู้ป่วยเข้ามาด้วยความหวัง แต่กลับถูกใช้เป็นเพียงหุ่นโชว์เพื่อเงินบริจาค

🌻

วิกฤติครั้งนี้ไม่ได้หยุดแค่ลิซ่า ในเดือนสิงหาคม ปี 2568 ข่าวทุจริตเงินบริจาคที่วัดพระบาทน้ำพุปะทุขึ้น ตำรวจกองปราบปรามกำลังสอบสวนที่ดิน 2,000-3,000 ไร่ที่ถือครองในชื่อบุคคลอื่น และการใช้เงินผิดวัตถุประสงค์ เช่น ซื้อรถหรูหรือสร้างบ้านส่วนตัว

หลวงพ่ออลงกต เจ้าอาวาส ลาออกจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม และยอมรับว่าโกหกเรื่องวุฒิการศึกษาเขาไม่ได้จบจากโรงเรียนเทพศิรินทร์หรือมหาวิทยาลัยดังอย่างที่เคยอ้าง แต่จบแค่มัธยมปลายจากโรงเรียนแก่นนคร จังหวัดขอนแก่น ศรัทธาของประชาชนที่เคยมองวัดนี้เป็นที่พึ่งแตกสลายลง

ผู้คนโกรธเกรี้ยว
บางคนประกาศเลิกบริจาค
บางคนยังปกป้องว่า “วัดเคยทำดี”
แต่ผลกระทบจากข่าวปรากฏชัดเจน
ยอดบริจาคลดลง
วัดที่ดูแลผู้ป่วย HIV
และเด็กกำพร้า 1,300-2,000 คนต่อเดือน
ด้วยงบ 4 ล้านบาท เสี่ยงขาดเงิน
ผู้ป่วยติดเตียง 65 คนอาจขาดยาและอาหาร
เด็กกำพร้าอาจขาดโอกาสเรียนหนังสือ
ผู้สูงอายุที่ถูกทอดทิ้งยิ่งไร้ที่พึ่ง
สังคมไทยแตกแยก
ความกลัวถูกหลอก
ทำให้การช่วยเหลือกันในสังคมชะงักลง

🌻

ท่ามกลางความมืดมิดนี้
ความเมตตา ความเห็นอกเห็นใจ
ในความทุกข์ยากของเพื่อนมนุษย์
ยังเป็นแสงสว่าง

นักประวัติศาสตร์ นักมามนุษยวิทยามักจะบอกเราเสมอ ว่ามนุษย์ครองโลกได้เพราะความสามารถในการช่วยเหลือกัน ด้วยองค์กรการกุศลหรือ cooperation ที่อาศัยความเชื่อร่วมกัน เช่น ศรัทธาในวัดหรือการกุศล แต่ทว่าความร่วมมือนี้มีด้านมืด เมื่อบางคนใช้มันเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว

การที่วัดพระบาทน้ำพุใช้ภาพผู้ป่วยที่น่าสงสารเพื่อระดมเงิน โดยจงใจละเลยการรักษา คือตัวอย่างของด้านมืดนั้น

ทว่าความสามารถในการปรับตัว
คือสิ่งที่ทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ของเราอยู่รอด
เราปรับตัวเก่ง สังคมไทยเรา
อาจจะสามารถสร้างความเชื่อใหม่ที่โปร่งใสกว่าได้
รวมถึงการรวมตัวของชุมชน
เพื่อช่วยผู้ป่วยโดยตรง
ไม่ต้องผ่านองค์กรหรือวัดที่อาจทุจริตตามที่เป็นข่าว

🌻

เรื่องราวของลิซ่ามันก็เหมือนเรื่องราวโครงกระดูกแตกหักที่มาร์กาเร็ต มี้ดเล่าถึง มันคือความเมตตาที่บริสุทธิ์

เธอไม่เพียงให้ยา แต่ให้หวังและศักดิ์ศรีแก่ผู้ป่วย แม้จะถูกทรยศหักหลัง ถูกขู่ฆ่าและขับไล่

การที่ นพ.มนูญ ออกมาเปิดเผยในวันนี้
คือจุดเริ่มต้นของการเยียวยาทั้งหมด
มันเหมือนที่มนุษย์เราในยุคโบราณ
เคยหยุดเพื่อดูแลกัน
วันนี้เราสามารถเยียวยาบาดแผลนี้ได้
ด้วยการ“ให้”อย่างชาญฉลาด

เช่น บริจาคตรงให้องค์กรที่โปร่งใส ให้เวลาเป็นอาสาสมัคร สอนทักษะให้เด็กกำพร้า หรือบริจาคของใช้ให้ชุมชนท้องถิ่นที่ช่วยผู้ป่วยเอดส์ ช่วยหรือทำสิ่งต่างๆ ที่เราพอทำได้

การให้แบบนี้ไม่ใช่แค่เงิน
แต่คือการมอบชีวิตใหม่
และมันจะทำให้มนุษย์เราอยู่รอดต่อไป

ในวันที่ศรัทธาแตกสลาย ความเมตตายังเป็นสะพานที่เชื่อมเราไว้ด้วยกัน ลิซ่าอาจจากไปด้วยหัวใจที่เจ็บปวด แต่แสงแห่งความเมตตาของเธอยังส่องสว่างอยู่ในคำบอกเล่าของ นพ.มนูญ และในใจของผู้ป่วยที่เคยยิ้มได้เพราะการช่วยเหลือของเธอ

จากประวัติศาสตร์ มนุษย์รอดมาได้
ไม่ใช่เพราะความแข็งแกร่งเพียงลำพังคนเดียว
แต่เพราะมนุษย์เราเลือกที่จะโอบอุ้มช่วยเหลือกัน
เราเลือกที่จะ“ให้”
เราจึงรอดชีวิตมาได้จนถึงทุกวันนี้

ในวันที่ศรัทธาในคุณงามความดีในใจเราสั่นคลอน ไม่เพียงเพ่งโทษกับคนใจดำอำมหิตที่เห็นความเจ็บป่วยของมนุษย์เป็นเพียงเครื่องจักรผลิตเงิน แต่ลองเพ่งกลับมาพิจารณาตัวเราเองด้วยว่า—เราควักเงินจ่ายง่ายเกินไปหรือไม่

ความสงสารที่ปราศจาก“ปัญญา”กำกับ
ไม่มีการพิจารณาใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วน
มักง่ายกับคำว่า “บุญ”
มันอาจมีผลร้ายมากกว่าที่คิด

ไม่เพียงเงินจะไม่ได้เอาไปใช้ตามจุดประสงค์ แต่ตัวผู้ป่วยหรือคนที่เราต้องการช่วย อาจต้องป่วยมากขี้น ทุกข์ทรมานขึ้นจากการบริจาคของเรา อย่างที่ลิซาและคุณหมอมนูญบอกเล่าทุกคนในวันนี้อย่างน่าสะเทือนใจ

🌻

ความเมตตา ความเห็นอกเห็นใจ
ในความทุกข์ยากของเพื่อนมนุษย์
ยังเป็นสิ่งสำคัญ
ที่จะค้ำจุนสังคมเราให้ดำรงอยู่ต่อไปได้

เรายังมีคนด้อยโอกาส คนยากจน
คนพิการ คนในกลุ่มเปราะบางมากมาย
ที่ยังต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน
ในขณะที่ช่องว่างในสังคม
ได้ทิ้งพวกเขาไว้เบื้องหลัง
ห่างไกลออกไปทุกนาที

อย่าเพิ่งหมดศรัทธา
อย่าให้ความเมตตาในหัวใจของเราแห้งเหือด
แปลงความผิดหวังเสียใจให้กลายเป็น“สติ”
พิจารณาใคร่ครวญให้มากขึ้น
ไม่“บ้าบุญ”จนขาดปัญญา

แล้วเราจะเห็นว่า
การให้ไม่ใช่ทางเลือก
แต่มันเป็นทางรอดของพวกเราทุกคน

❤️
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่