เหมือนผมถูกหลอกเริ่องสัมปชัญญะเลยครับ (ใครอ่านแล้วไม่ถูกใจขออภัยด้วยครับ)

อาจจะไม่ได้มีประสบการณ์ในเรื่องนี้มาก แต่อยากมาแชร์ความคิดเห็นในเรื่องของสัมปชัญญะครับ

สัมปชัญญะตามที่ส่วนตัวเข้าใจนะครับ = การรู้สึกตัวทั่วพร้อม และเป็นตัวคอยดึงสติกลับมาอยู่ภายในไม่ให้ไหลออกไปข้างนอก (จากที่ศึกษาจากพระที่วัด และจากข้อมูลที่มีนะครับ)

ตอนเด็ก ๆ ผมก็เคยถูกสอนมาตลอดจากครอบครัวและคนรอบตัวว่าให้มีสติสัมปชัญญะตลอด ผมก็ฝึกทำตามซึ่งมันก็ให้ผลดีจริงครับและผมก็ไม่ได้เอะใจอะไร

ไม่ว่าจะนั่งกินข้าว อาบน้ำ เดิน พูด ร้องเพลง เล่นเกม ไปดูหนัง เที่ยว ​เราก็คิดว่าเรามีสัมปชัญญะอยู่​

วันหนึ่งคงจะปีนี้แหละครับ มีพระรูปหนึ่งเทศน์เอาไว้ว่า สติทางธรรมและสัมปชัญญะจะไม่เกิดพร้อมกับอกุศล

หลายคนก็คงจะบอกว่าก็จริงตามที่พระท่านว่าจริงมั้ยล่ะครับ ซึ่งผมก็เชื่อจากการฟังครั้งนั้นมาบ้าง เลยทำให้ผมสงสัยว่า แล้วทำไมตลอดที่ผ่านมาเราถึงยังมีสัมปชัญญะได้อยู่แทบตลอด? พอคำถามนี้เกิดขึ้นมา เลยทำให้เกิดคำถามกับตัวเองแล้วว่า นี่เราไม่ได้มีสัมปชัญญะตามที่คนอื่นเขาสอนกันจริง ๆ หรอ (คิดไปก็เหมือนจะโดนดูถูกทางอ้อม) แล้วคนอื่นล่ะยังมีสัมปชัญญะได้ตลอดอยู่รึเปล่า? เพราะด้วยความที่ว่าเป็นฆราวาสในแต่ละวันก็ใช่ว่าทั้งวันจิตใจจะเป็นกุศลอยู่ตลอดเวลา โอเคแหละบางคนคงทำได้ แต่สำหรับผมมันยังไม่ใช่ เมื่อครั้งนั้นที่คำถามเกิดขึ้น ทำให้สัมปชัญญะผมหลุดไปนานพอสมควรเหมือนกันครับ

พอถึงจุดหนึ่งผมก็เริ่มคิดแล้วว่าไม่ไหวละ สัมปชัญญะผมหายไปกับความสงสัยนานเหลือเกิน คือสติมันมีนะครับ แต่ส่วนใหญ่จิตมันไหลไปข้างนอกบ่อยเหลือเกินไม่เหมือนกับตอนก่อนที่จะสงสัย เลยจะลองพิสูจน์ให้เห็นกันไปเลยว่าต่อให้จะมีอกุศลเราก็ยังสามารถที่จะมีสัมปชัญญะได้

ผมก็เริ่มที่จะกลับมาทำทุกอย่างให้เหมือนกับตอนก่อนที่จะเกิดความสงสัย เริ่มเอาจิตอยู่ภายใน เริ่มรู้สึกตัวหรือการเคลื่อนไหวอยู่ภายในให้ได้ตลอดทั้งวัน แต่ละวันของผมก็ใช่ว่าจะมีแต่กุศล มันก็มีทั้งกุศลกับอกุศลสลับกันไปมา เมื่อทำทุกวัน ๆ ก็เห็นว่า ต่อให้ผมจะยืนร้องเพลง เดิน นั่ง นอน นั่งเล่นเกม กำลังพูดเรื่องเพ้อเจ้อไร้สาระ บี้มดตบยุง ผมก็ยังสามารถประคองจิตให้อยู่ภายในและรู้สึกตัวทั้งหมดได้ ผมก็ไม่แน่ใจนะครับว่ามันเรียกว่าสัมปชัญญะรึเปล่า แต่มันเป็นความรู้สึกที่ดีมากครับ ถึงแม้ว่ามันจะขัดกับนิยามทางทฤษฎีหรือตามตัวอักษรของพระคัมภีร์ แต่ผมก็พิสูจน์ให้ตัวเองเห็นได้ว่าแม้ตัวกำลังจะทำกุศลหรืออกุศลอยู่เราก็สามารถปฏิบัติได้ตลอด

มันเลยทำให้ผมอยากจะเปลี่ยนมุมมองว่าการมีสัมปชัญญะต้องมาพร้อมกับกุศลเสมอนั้นไม่เป็นความจริง ผมอยากจะยืนยันนั่งยันนอนยันตรงนี้แหละครับ หรือมันอาจจะจริงตามที่ผมสงสัยไว้ทั้งหมด ​ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ต่อจากนี้ถ้ามีคนมาพูดกับผมว่า “​ทุกคน ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ควรจะมีสัมปชัญญะอยู่ตลอดเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมา” ผมคงจะสวนกลับไปได้ในทันทีว่า ไม่จริงครับ เพราะฆราวาสอย่างเรา ๆ นั้นไม่ได้มีกุศลอยู่ตลอดเวลา ซึ่งสัมปชัญญะต้องเกิดขึ้นพร้อมกับกุศลเท่านั้น เพราะฉะนั้นอย่าเอาคำพูดนี้ไปสอนใครให้เขาเข่าใจผิดเลย

แต่สำหรับความเห็นของผมยังไง ๆ ก็คงจะเชื่อในความเห็นแรกมากกว่าว่าการรู้สึกตัวหรือการปฏิบัติสามารถเกิดขึ้นได้ไม่ว่าจะทั้งในเวลากุศลหรืออกุศล แล้วผมก็นึกถึงคำพูดของหลวงพ่อที่วัดว่า จริง ๆ แล้วสภาวะที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะทางโลกหรือทางธรรมมันก็ตัวเดียวกันนั่นแหละ เพียงแค่เปลี่ยนชื่อเรียกเฉย ๆ ซึ่งผมเชื่อความเห็นนี้มากกว่า

เพราะผมก็เจ็บใจมากเหมือนตัวเองโดนหลอก และเหมือนได้เสียเวลาไปเปล่า ใครจะว่าขณะมีอกุศลไม่สามารถปฏิบัติได้ ผมก็ขอปฏิเสธนะครับ

คงจะมีคนไม่เห็นด้วยกับผม ผมก็กราบขออภัยอย่างหนักแน่นด้วยนะครับ อยากมาพูดเรื่องนี้​มากครับ แต่ก็กลัวสวนกระแสเช่นกันครับ แล้วก็ผมคิดว่าคงมีคนที่คอยอยากจะให้ความเห็นที่ไม่ตรงกับผมนั้นถูกมาก ๆ แต่ผมก็เช่นกันครับ บางทีมันก็เป็นเรื่องยากที่จะจูนเข้าหากัน ก็ขออภัยด้วยครับ ​ขอบคุณครับ​
เม่าเหม่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่