ธรณีสงฆ์

กระทู้สนทนา
มหากาพย์คดีสนามกอล์ฟอัลไพน์ ที่หลายคนน่าจะคุ้นหู ถูกฝ่ายค้านนำมาใช้ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ไล่เรียงมาตั้งแต่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) รวมถึงบรรดา สส.พปชร. และ สส.พรรคประชาชน (ปชน.) อีกหลายคน

เงื่อนปมสนามกอล์ฟอัลไพน์ ย้อนกลับไปสู่จุดเริ่มต้น ต้องบิดเข็มนาฬิกากลับไปราว 35 ปีก่อน และเกี่ยวข้องกับ “นักการเมือง-บิ๊กข้าราชการ” หลายคน ในช่วงเวลานั้นกลายเป็นเรื่องอื้อฉาวที่สุดในยุคสมัย เพราะเกี่ยวข้องกับ “ที่ดินธรณีสงฆ์” โดยหลังจาก “เนื่อม ชำนาญชาติศักดา” ได้บริจาคที่ดิน จำนวน  924 ไร่ 2 งาน 75 ตารางวา ให้กับวัดธรรมิการามวรวิหาร อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี เมื่อวันที่ 20 พ.ย. 2512

เรื่องของเรื่องมาเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 31 ส.ค. 2533 ที่ดินดังกล่าวซึ่งเป็นธรณีสงฆ์ได้ถูกขายในราคา 130 ล้านบาทและโอนให้กับ บริษัท อัลไพน์ เรียลเอสเตท จำกัด และบริษัท อัลไพน์ กอล์ฟ แอนด์ สปอร์ตคลับ จำกัด ซึ่งมีผู้ถือหุ้น (ขณะนั้น) คือ ชูชีพ หาญสวัสดิ์ และอุไรวรรณ เทียนทอง (ภริยาเสนาะ เทียนทอง) ซึ่งตอนนั้นเป็น รมช.มหาดไทย กำกับดูแลกรมที่ดิน

หลังจากนั้นในปี 2540 ที่ดินผืนนี้ถูกขายต่อในราคา 500 ล้านบาทให้ คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา (ขณะนั้น) ของ ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี (ตำแหน่งขณะนั้น) ถัดมาอีก 5 ปี ในวันที่ 5 มี.ค. 2545 ยงยุทธ วิชัยดิษฐ ในฐานะรองปลัดกระทรวงมหาดไทย และรักษาราชการแทนปลัดมหาดไทย (ขณะนั้น) ได้ออกคำสั่งเพิกถอนคำสั่งอธิบดีกรมที่ดิน ที่ให้ยกเลิกโฉนดที่ดิน

สำหรับตัวละครสำคัญในเรื่องนี้มี 3 คนด้วยกัน (เท่าที่เผยแพร่สาธารณะ) ได้แก่ ยงยุทธ วิชัยดิษฐ เสริมศักดิ์ พงษ์พานิช และเสนาะ เทียนทอง โดยทั้งหมดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ข้อเท็จจริงสรุปได้ว่า ยงยุทธถูกศาลอุทธรณ์พิพากษาจำคุก 2 ปี ส่วนเสริมศักดิ์ คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติยกคำร้องกล่าวหา เนื่องจากข้อกล่าวหาไม่มีมูล ขณะที่เสนาะ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยองค์คณะเสียงข้างมาก เห็นว่า ฟ้องโจทก์ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) หมดอายุความไปแล้ว เมื่อปี 2553

“ยงยุทธ วิชัยดิษฐ” ตัวละครสำคัญในเรื่องนี้ หลังจากเสร็จเรื่องเพิกถอนคำสั่งอธิบดีกรมที่ดินดังกล่าวในปี 2545 ในยุคต่อมา “ยงยุทธ” ถูกเลือกให้เป็นปลัดกระทรวงมหาดไทย หลังจากนั้นเข้าสู่ถนนการเมือง เคยเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เคยขึ้นถึงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ตามลำดับ

เมื่อปี 2555 ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติเสียงข้างมาก 6 ต่อ 3 เสียง ชี้มูลความผิดทางอาญา และผิดวินัยร้ายแรงแก่ ยงยุทธ ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวงมหาดไทย รักษาการปลัดกระทรวงมหาดไทย ที่ตัดสินใจเรื่องเพิกถอนคำสั่งอธิบดีกรมที่ดินดังกล่าว

ต่อมาเมื่อปี 2557 มีการร้องเรียน “เสริมศักดิ์ พงษ์พานิช” อดีตรัฐมนตรีหลายสมัย พรรคเพื่อไทย เมื่อครั้งเป็นปลัดกระทรวงมหาดไทย กรณีละเว้นไม่ดำเนินการเพิกถอนหรือทบทวนคำสั่งของ ยงยุทธ วิชัยดิษฐ เกี่ยวที่ธรณีสงฆ์ของวัดธรรมิการามวรวิหาร จ.ปทุมธานี (กรณีสนามกอล์ฟอัลไพน์) ที่มีคำสั่งเมื่อวันที่ 13 มี.ค. 2545 ให้เพิกถอนคำสั่งอธิบดีกรมที่ดิน ให้เพิกถอนรายการจดทะเบียนโอนมรดกที่ดินให้แก่มูลนิธิมหามกุฎราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งมิใช่ผู้มีสิทธิรับมรดกตามพินัยกรรมของนางเนื่อม ชำนาญชาติศักดา โดยดำเนินการตามมาตรา 61 แห่ง ประมวลกฎหมายที่ดิน เนื่องจากเป็นการจดทะเบียนที่มิชอบด้วยกฎหมาย

อย่างไรก็ดีเมื่อปี 2562 คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อกล่าวหาดังกล่าว ไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหาตกไป

สำหรับ “เสริมศักดิ์ พงษ์พานิช” เป็นปลัดกระทรวงมหาดไทย ระหว่างวันที่ 1 ต.ค. 2545 - 9 มี.ค. 2548 ต่อจากยงยุทธ วิชัยดิษฐ ที่ดำรงตำแหน่งก่อนหน้านี้

ส่วน “เสนาะ เทียนทอง” ถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช.ยื่นฟ้องศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เมื่อปี 2553 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ ข่มขืนใจหรือจูงใจเพื่อให้บุคคลใด มอบให้ หรือหามาให้ซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่ตนเองหรือผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148 กรณีการซื้อขายที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์ดังกล่าว

อย่างไรก็ดี องค์คณะจึงมีมติเสียงข้างมากจึงเห็นว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 95 วรรคหนึ่ง ดังนั้นสิทธิ์การฟ้องคดีอาญาย่อมถูกระงับไป จึงพิพากษาให้ยกฟ้อง “เสนาะ” จึงพ้นบ่วงเรื่องนี้ไป

ทำให้ตัวละครของเรื่องนี้เหลือเพียง “ยงยุทธ” เพียงรายเดียว โดยข้อเท็จจริงคดีนี้ตามคำพิพากษาของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง (ชั้นต้น) เมื่อ 29 ส.ค. 2560 สรุปได้ว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้เบื้องต้นว่า ก่อนนางเนื่อม ชำนาญศักดา ถึงแก่ความตาย ได้ทำพินัยกรรมยกที่ดิน 2 แปลง ให้แก่วัดธรรมิการามวรวิหาร ต่อมาเมื่อนางเนื่อมถึงแก่ความตาย มูลนิธิมหามงกุฎราชวิทยาลัย ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางเนื่อม ได้โอนที่ดิน 2 แปลง (ทั้งสองแปลงอยู่ที่ อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี แปลงแรกประมาณ 730 ไร่ มูลค่าขณะนั้นราว 3.9 ล้านบาท อีกแปลง 194 ไร่ มูลค่าขณะนั้นราว 9.3 แสนบาท) ให้กับมูลนิธิมหามงกุฎฯ

มูลนิธิมหามงกุฎฯ ได้ขายที่ดิน 2 แปลงดังกล่าวให้กับบริษัท อัลไพน์ เรียลเอสเตท จำกัด กับบริษัท อัลไพน์ กอล์ฟ แอนด์ สปอร์ตคลับ จำกัด ในราคา 142 ล้านบาท และวันเดียวกันบริษัททั้ง 2 แห่ง ได้นำที่ดินทั้ง 2 แปลง ไปจดทะเบียนจำนองที่ดินกับธนาคารเป็นเงิน 220 ล้านบาท

ต่อมาอธิบดีกรมที่ดินให้เพิกถอนรายการจดทะเบียนโอนที่ดินข้างต้น ตลอดจนรายการจดทะเบียนลำดับต่อ ๆ มาจากรายการข้างต้น เนื่องจากเห็นว่า เป็นการโอนที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย มีผู้มีส่วนได้เสียรวม 290 ราย จึงอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว แต่กรมที่ดินยืนยันตามคำสั่งเดิม

ในช่วงที่ผู้เสียหายอุทธรณ์นี้เอง กระทรวงมหาดไทย ในฐานะหน่วยงานผู้บังคับบัญชากรมที่ดิน ได้ตั้งคณะกรรมการพิจารณาข้ออุทธรณ์ดังกล่าวขึ้น มีนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ที่เพิ่งเลื่อนขั้นจากอธิบดีกรมที่ดิน มาดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการอุทธรณ์ดังกล่าว

ทั้งนี้ที่ประชุมเพื่อพิจารณาการอุทธรณ์นี้ เสียงแตกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายแรก เห็นว่า ที่ดิน 2 แปลงดังกล่าว เป็นธรณีสงฆ์ ตามการตีความของคณะกรรมการกฤษฎีกา

ขณะที่เสียงข้างมาก รวมถึงนายยงยุทธ เห็นว่า ไม่ใช่ที่ธรณีสงฆ์ โดยมีการอ้างตามมาตรา 84 และ 85 รวมถึงการอ้างกฎหมายพิเศษ ที่ยกเว้นจากหลักการที่ดินอื่นในเชิงพาณิชย์

ท้ายที่สุดคณะกรรมการชุดดังกล่าวได้ยกเหตุผลของ นายเสนาะ เทียนทอง รมช.มหาดไทย (ขณะนั้น) ที่อ้างว่า ไม่อนุญาตให้วัดรับโอนที่ดินมรดกเกิน 50 ไร่ มาพิจารณา อย่างไรก็ดีมีข้อเสนอแนะเพื่อแก้ไขความเดือดร้อนให้ผู้เสียหายที่ได้รับผลกระทบกรณีดังกล่าว เพื่อให้กระทรวงมหาดไทยเยียวยาแล้ว แต่นายยงยุทธ และที่ประชุมไม่ได้หยิบยกมาพิจารณาแต่อย่างใด

สำหรับข้ออ้างของนายเสนาะนั้น ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า หากพิจารณาคำสั่งของนายเสนาะโดยละเอียด ย่อมพบความไม่ปกติในคำสั่งดังกล่าว และอาจมีการก้าวล่วงการดำเนินการของเจ้าอาวาสวัดด้วย

หลังจากนั้นนายยงยุทธ ในฐานะประธานคณะกรรมการฯชุดนี้ ต้องส่งเรื่องให้ปลัดกระทรวงมหาดไทยพิจารณา ทว่าขณะนั้นปลัดกระทรวงมหาดไทยลาออกจากตำแหน่ง ทำให้ต้องเลือกบุคคลขึ้นมารักษาการ ซึ่ง รมว.มหาดไทย (ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์) ได้เลือกนายยงยุทธ ในฐานะรองปลัดกระทรวงมหาดไทย ขึ้นมารักษาการปลัดกระทรวงมหาดไทย ทั้งที่นายยงยุทธมีอาวุโสลำดับที่ 3 จากทั้งหมด 7 ลำดับ ก่อนที่จะส่งเรื่องให้กรมที่ดินเพื่อเพิกถอนคำสั่งของกรมที่ดินที่ให้เพิกถอนที่ดินทั้ง 2 แปลงดังกล่าวในที่สุด

ทั้งนี้ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คำสั่งของอธิบดีกรมที่ดินที่ให้เพิกถอนการจดทะเบียนที่ดินดังกล่าวที่เป็นข้อพิพาทนี้ เป็นคำสั่งที่ถูกต้องด้วยกฎหมาย และข้อเท็จจริงแล้ว ประกอบกับการตีความของคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่ระบุว่า ที่ดินดังกล่าวตกเป็นของวัดและธรณีสงฆ์ทันทีที่นางเนื่อมเสียชีวิต แม้ว่าจะไม่มีการโอนชื่อให้เป็นของวัดก็ตาม อีกทั้งยังพบว่า วัดได้ปล่อยเช่าที่ดินที่ได้รับจากนางเนื่อมเพื่อให้เกิดดอกออกผล และยังไปจดทะเบียนแล้วว่า ที่ดินดังกล่าวเป็นที่ธรณีสงฆ์

ขณะที่มติคณะรัฐมนตรี มีคำสั่งให้กระทรวง ทบวง กรม ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยหรือการตีความของคณะกรรมการกฤษฎีกาอย่างเคร่งครัด อีกทั้งนายยงยุทธ ยังมีโอกาสขอทบทวนการอุทธรณ์ดังกล่าวของผู้เสียหาย และยังทราบด้วยว่า สามารถให้ทุเลาการบังคับคดีทางปกครองไว้ก่อนได้ ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลง แต่กลับไม่ทำ

นายยงยุทธต้องใช้ความรู้ความสามารถ พิจารณาอย่างรอบคอบ ระมัดระวังในข้อกฎหมายให้สมกับความรู้ และความสามารถในการดำรงตำแหน่งมาหลายตำแหน่ง จนได้รักษาการในตำแหน่งปลัดกระทรวงมหาดไทย ทั้งที่เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทยในลำดับที่ 3 จาก 7 ลำดับ

ขณะเดียวกัน พินัยกรรมของนางเนื่อม ระบุชัดเจนว่า ยกที่ดินให้กับวัดเท่านั้น และให้มูลนิธิมหามงกุฎฯ ร่วมกับวัดไปช่วยกันจัดทำประโยชน์ในการครอบครองที่ดิน โดยที่ไม่อาจขยายความไปถึงการขายที่ดินได้

จึงไม่อาจรับฟังได้ว่า นายยงยุทธได้ใช้หลักความมั่นคงแห่งสิทธิ ความสุจริต ความเสียหายต่อสาธารณะอย่างสุจริตใจ แต่เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัททั้ง 2 แห่ง ไม่ให้ถูกเพิกถอนการถือครองที่ดิน สิทธิและนิติกรรมตามคำสั่งของอธิบดีกรมที่ดิน

ถือเป็นการแสวงหาผลประโยชน์อันไม่ควรได้ให้แก่ผู้อื่น เกิดความเสียหายกับวัดที่ถือเป็นทายาทตามพินัยกรรม เป็นการทำลายศรัทธาผู้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างนางเนื่อม ที่ระบุชัดในพินัยกรรมว่า ขอให้นำทรัพย์สินที่ได้หลังจากการมรณกรรมของตน นำไปทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา และเป็นจตุปัจจัยถวายแด่พระภิกษุสงฆ์

คำสั่งของนายยงยุทธ จึงเป็นการใช้ดุลยพินิจโดยไม่ชอบ มีความผิดตามฟ้อง พิพากษาจำคุก 2 ปี

ต่อมามีการยื่นอุทธรณ์ โดยศาลอุทธรณ์พิพากษายืน แต่ความพยายามของ “ยงยุทธ” ยังไม่จบได้ยื่นฎีกา แต่สุดท้ายเมื่อ 17 ก.พ. 2563 ศาลฎีกามีมติไม่รับฎีกา ทำให้คดีนี้สิ้นสุดลง ปิดฉาก 35 ปีที่ดินเกี่ยวเนื่องกับ “ธรณีสงฆ์” แห่งนี้

ในปัจจุบันเรื่องนี้ถูก “ฝ่ายค้าน” นำมาปัดฝุ่นพูดถึงอีกครั้งเพราะ “ที่ดิน” ในสนามกอล์ฟอัลไพน์ดังกล่าว ยังมิได้มีการโอนคืนเป็น “ธรณีสงฆ์” แต่อย่างใด ทั้งที่มีคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุด และคณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นมาแล้ว

โดยสมัยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อครั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ เคยออกคำสั่งตั้งกรรมการยกร่างกฎหมายเพื่อแก้ปัญหาโอนกรรมสิทธิ์ที่ไม่เป็นไปตามกฎหมาย หมายถึงการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบในโครงการ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่