เคยสงสัยกันไหมว่าเวลาที่ซื้อรถมาแล้วหลายคนก็บอกว่า ต้องถ่ายน้ำมันเครื่องทุก 10,000 กม. เพื่อรักษาประกันตัวรถ หรืออาจจะเหตุผลอื่นๆ มากมาย ซึ่งรอบนี้ Sanook Auto จะมาไขคำตอบว่า "ทำไม" เราต้องถ่ายน้ำมันเครื่องรถยนต์ทุก 10,000 กม. แล้วถ้าเราปล่อยเกินจะเกิดอะไรขึ้น
น้ำมันเครื่องคืออะไร และหน้าที่หลัก
ถ้าจะเปรียบเทียบ น้ำมันเครื่องก็คือ “เลือด” ที่หล่อเลี้ยงเครื่องยนต์รถคุณให้ทำงานได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ หน้าที่ของมันไม่ใช่แค่การหล่อลื่นเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการระบายความร้อน ทำความสะอาด และป้องกันการสึกหรอของชิ้นส่วนภายในที่ซับซ้อน แต่ทำไมเราถึงต้องให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องทุก 10,000 กิโลเมตร หรือทุก 6 เดือน
หน้าที่หลักของน้ำมันเครื่องที่คุณอาจไม่เคยรู้
ก่อนจะไปถึงเรื่องกำหนดการ เรามาทบทวนหน้าที่สำคัญของน้ำมันเครื่องกันก่อนดีกว่าครับ
1.การหล่อลื่น: หน้าที่นี้เป็นที่รู้กันดีว่า น้ำมันเครื่องจะสร้างฟิล์มบางๆ เคลือบชิ้นส่วนโลหะต่างๆ เพื่อลดแรงเสียดทานและป้องกันการสึกหรอ
2.การระบายความร้อน: ขณะที่เครื่องยนต์ทำงาน จะเกิดความร้อนสูงมาก น้ำมันเครื่องจะช่วยดูดซับความร้อนนี้และระบายออกไป เพื่อรักษาอุณหภูมิให้คงที่
3.การทำความสะอาด: ในกระบวนการเผาไหม้จะเกิดคราบเขม่าและเศษโลหะเล็กๆ น้ำมันเครื่องจะทำหน้าที่ชะล้างสิ่งสกปรกเหล่านี้ให้มารวมกันที่ไส้กรอง
4.การป้องกันการกัดกร่อน: ในน้ำมันเครื่องมีสารเติมแต่งที่ช่วยป้องกันไม่ให้ชิ้นส่วนโลหะภายในเครื่องยนต์เกิดสนิม
ทำไม “น้ำมันเครื่องเก่า” ถึงเป็นอันตรายต่อรถของคุณ
เมื่อเราใช้งานรถไปเรื่อยๆ น้ำมันเครื่องที่เคยใสสะอาดจะค่อยๆ เสื่อมสภาพลงจากปัจจัยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอุณหภูมิสูง, การปนเปื้อนของสิ่งสกปรก หรือแรงกดดันจากการทำงานของเครื่องยนต์
คุณสมบัติการหล่อลื่นลดลง: เมื่อน้ำมันเครื่องเก่าลง ความหนืดจะเปลี่ยนไปและฟิล์มน้ำมันจะอ่อนแอลง ทำให้การหล่อลื่นไม่เต็มที่ ส่งผลให้ชิ้นส่วนภายในเครื่องยนต์เสียดสีกันมากขึ้น
เกิดคราบเขม่าสะสม: เมื่อน้ำมันเครื่องไม่สามารถทำความสะอาดได้เต็มที่ คราบเขม่าและสิ่งสกปรกจะเริ่มเกาะตามชิ้นส่วนสำคัญ เช่น แหวนลูกสูบ ซึ่งส่งผลให้ประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ลดลง
เครื่องยนต์ทำงานหนักขึ้น: เครื่องยนต์ที่เต็มไปด้วยสิ่งสกปรกและแรงเสียดทานที่เพิ่มขึ้น จะต้องใช้พลังงานมากขึ้นในการทำงาน ทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงมากกว่าปกติ
อายุการใช้งานสั้นลง: หากละเลยไปนานๆ การสะสมของความเสียหายจะนำไปสู่การสึกหรอของชิ้นส่วนสำคัญอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจทำให้เครื่องยนต์พังและมีค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมที่สูงลิ่ว
แล้วทำไมต้อง "10,000 กิโลเมตร" หรือ "6 เดือน"?
ตัวเลขนี้คือค่าเฉลี่ยที่ผู้ผลิตรถยนต์ส่วนใหญ่แนะนำสำหรับรถยนต์ที่ใช้งานปกติในปัจจุบัน ด้วยคุณภาพของ น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ (Synthetic Oil) ที่มีประสิทธิภาพสูง ทำให้สามารถคงสภาพการปกป้องเครื่องยนต์ได้นานขึ้นกว่าน้ำมันเครื่องแบบธรรมดา
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขนี้อาจยืดหยุ่นได้บ้างขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการขับขี่ของคุณ เช่น
หากคุณใช้รถในเมืองที่รถติดบ่อย: เครื่องยนต์จะทำงานหนักกว่าปกติในขณะที่รถไม่ได้เคลื่อนที่ จึงอาจพิจารณาเปลี่ยนถ่ายให้เร็วกว่ากำหนดเล็กน้อย
หากคุณไม่ค่อยได้ใช้รถ: แม้จะยังไม่ถึง 10,000 กิโลเมตร แต่น้ำมันเครื่องก็มีอายุของมัน จึงควรเปลี่ยนถ่ายอย่างน้อยทุก 6 เดือนถึง 1 ปี
ด้วยเหตุผลทั้งหมดเราสรุปได้ว่า การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตามกำหนดเวลาจึงไม่ใช่แค่การทำตามคำแนะนำ แต่เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดเพื่อรักษา "หัวใจ" ของรถยนต์คุณให้ทำงานได้อย่างสมบูรณ์และอยู่กับคุณไปนานๆ อีกสิ่งที่ต้องรู้คือเกรดน้ำมันเครื่องจะต้องตรงกับที่ระบุไว้ในคู่มือเพื่อไม่ให้เกิดปัญหานั่นเอง
ที่มา:
https://www.sanook.com/auto/96055/
ทำไมต้องถ่ายน้ำมันทุก 10,000 กม. ไม่ถ่ายตรงเกิดผลเสียตรงไหน
เคยสงสัยกันไหมว่าเวลาที่ซื้อรถมาแล้วหลายคนก็บอกว่า ต้องถ่ายน้ำมันเครื่องทุก 10,000 กม. เพื่อรักษาประกันตัวรถ หรืออาจจะเหตุผลอื่นๆ มากมาย ซึ่งรอบนี้ Sanook Auto จะมาไขคำตอบว่า "ทำไม" เราต้องถ่ายน้ำมันเครื่องรถยนต์ทุก 10,000 กม. แล้วถ้าเราปล่อยเกินจะเกิดอะไรขึ้น
น้ำมันเครื่องคืออะไร และหน้าที่หลัก
ถ้าจะเปรียบเทียบ น้ำมันเครื่องก็คือ “เลือด” ที่หล่อเลี้ยงเครื่องยนต์รถคุณให้ทำงานได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ หน้าที่ของมันไม่ใช่แค่การหล่อลื่นเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการระบายความร้อน ทำความสะอาด และป้องกันการสึกหรอของชิ้นส่วนภายในที่ซับซ้อน แต่ทำไมเราถึงต้องให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องทุก 10,000 กิโลเมตร หรือทุก 6 เดือน
หน้าที่หลักของน้ำมันเครื่องที่คุณอาจไม่เคยรู้
ก่อนจะไปถึงเรื่องกำหนดการ เรามาทบทวนหน้าที่สำคัญของน้ำมันเครื่องกันก่อนดีกว่าครับ
1.การหล่อลื่น: หน้าที่นี้เป็นที่รู้กันดีว่า น้ำมันเครื่องจะสร้างฟิล์มบางๆ เคลือบชิ้นส่วนโลหะต่างๆ เพื่อลดแรงเสียดทานและป้องกันการสึกหรอ
2.การระบายความร้อน: ขณะที่เครื่องยนต์ทำงาน จะเกิดความร้อนสูงมาก น้ำมันเครื่องจะช่วยดูดซับความร้อนนี้และระบายออกไป เพื่อรักษาอุณหภูมิให้คงที่
3.การทำความสะอาด: ในกระบวนการเผาไหม้จะเกิดคราบเขม่าและเศษโลหะเล็กๆ น้ำมันเครื่องจะทำหน้าที่ชะล้างสิ่งสกปรกเหล่านี้ให้มารวมกันที่ไส้กรอง
4.การป้องกันการกัดกร่อน: ในน้ำมันเครื่องมีสารเติมแต่งที่ช่วยป้องกันไม่ให้ชิ้นส่วนโลหะภายในเครื่องยนต์เกิดสนิม
ทำไม “น้ำมันเครื่องเก่า” ถึงเป็นอันตรายต่อรถของคุณ
เมื่อเราใช้งานรถไปเรื่อยๆ น้ำมันเครื่องที่เคยใสสะอาดจะค่อยๆ เสื่อมสภาพลงจากปัจจัยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอุณหภูมิสูง, การปนเปื้อนของสิ่งสกปรก หรือแรงกดดันจากการทำงานของเครื่องยนต์
คุณสมบัติการหล่อลื่นลดลง: เมื่อน้ำมันเครื่องเก่าลง ความหนืดจะเปลี่ยนไปและฟิล์มน้ำมันจะอ่อนแอลง ทำให้การหล่อลื่นไม่เต็มที่ ส่งผลให้ชิ้นส่วนภายในเครื่องยนต์เสียดสีกันมากขึ้น
เกิดคราบเขม่าสะสม: เมื่อน้ำมันเครื่องไม่สามารถทำความสะอาดได้เต็มที่ คราบเขม่าและสิ่งสกปรกจะเริ่มเกาะตามชิ้นส่วนสำคัญ เช่น แหวนลูกสูบ ซึ่งส่งผลให้ประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ลดลง
เครื่องยนต์ทำงานหนักขึ้น: เครื่องยนต์ที่เต็มไปด้วยสิ่งสกปรกและแรงเสียดทานที่เพิ่มขึ้น จะต้องใช้พลังงานมากขึ้นในการทำงาน ทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงมากกว่าปกติ
อายุการใช้งานสั้นลง: หากละเลยไปนานๆ การสะสมของความเสียหายจะนำไปสู่การสึกหรอของชิ้นส่วนสำคัญอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจทำให้เครื่องยนต์พังและมีค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมที่สูงลิ่ว
แล้วทำไมต้อง "10,000 กิโลเมตร" หรือ "6 เดือน"?
ตัวเลขนี้คือค่าเฉลี่ยที่ผู้ผลิตรถยนต์ส่วนใหญ่แนะนำสำหรับรถยนต์ที่ใช้งานปกติในปัจจุบัน ด้วยคุณภาพของ น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ (Synthetic Oil) ที่มีประสิทธิภาพสูง ทำให้สามารถคงสภาพการปกป้องเครื่องยนต์ได้นานขึ้นกว่าน้ำมันเครื่องแบบธรรมดา
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขนี้อาจยืดหยุ่นได้บ้างขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการขับขี่ของคุณ เช่น
หากคุณใช้รถในเมืองที่รถติดบ่อย: เครื่องยนต์จะทำงานหนักกว่าปกติในขณะที่รถไม่ได้เคลื่อนที่ จึงอาจพิจารณาเปลี่ยนถ่ายให้เร็วกว่ากำหนดเล็กน้อย
หากคุณไม่ค่อยได้ใช้รถ: แม้จะยังไม่ถึง 10,000 กิโลเมตร แต่น้ำมันเครื่องก็มีอายุของมัน จึงควรเปลี่ยนถ่ายอย่างน้อยทุก 6 เดือนถึง 1 ปี
ด้วยเหตุผลทั้งหมดเราสรุปได้ว่า การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตามกำหนดเวลาจึงไม่ใช่แค่การทำตามคำแนะนำ แต่เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดเพื่อรักษา "หัวใจ" ของรถยนต์คุณให้ทำงานได้อย่างสมบูรณ์และอยู่กับคุณไปนานๆ อีกสิ่งที่ต้องรู้คือเกรดน้ำมันเครื่องจะต้องตรงกับที่ระบุไว้ในคู่มือเพื่อไม่ให้เกิดปัญหานั่นเอง
ที่มา:https://www.sanook.com/auto/96055/