JJNY : ‘พวกผมไม่ไหวแล้วนะพี่’│โวยกัมพูชา หลังทหารเหยียบกับระเบิด│กูรูเสียงแตกวัดใจกนง.│เรือหน่วยงานจีน“พลาดชนกันเอง”

เสียงสะท้อนจากทหารพรานชายแดน ‘พวกผมไม่ไหวแล้วนะพี่’ หลังเพื่อนร่วมรบบาดเจ็บจากระเบิด
.

.
เสียงสะท้อนจากทหารพรานชายแดน "พวกผมไม่ไหวแล้วนะพี่" หลังเพื่อนร่วมรบบาดเจ็บจากระเบิด กลายเป็นประโยคที่สะเทือนใจ
.
จากกรณี พ.อ.ริชฌา สุขสุวานนท์ รองโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า ในวันเดียวกันนี้ เมื่อเวลาประมาณ 09.10 น. กองทัพบกได้รับรายงานว่า หน่วยทหารพราน ร้อย.ทพ.2610 ปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนในพื้นที่บริเวณปราสาทตาเมือนธม อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ได้เกิดเหตุระเบิดขึ้น ส่งผลให้กำลังพลได้รับบาดเจ็บสูญเสียขา 1 นาย ขณะนี้ได้ลำเลียงส่งโรงพยาบาล เพื่อรับการรักษาแล้ว รายละเอียดอื่นๆ จะรายงานให้ทราบต่อไป
.
ต่อมา มีรายงานว่า ล่าสุดทราบชื่อทหารที่เหยียบกับระเบิดแล้ว คือ สิบเอกธีรพล เพียขันที สังกัดของทหารพรานจู่โจมที่ 2610 ซึ่งปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่ปราสาทตาเมือนธม ได้เหยียบกับระเบิด ขณะออกลาดตระเวนในพื้นที่ปีกขวาของปราสาทตาเมือนธม ทำให้ขาซ้ายขาด ขณะนี้ผู้ได้รับบาดเจ็บได้ถูกลำเลียงส่งตัวมารักษาที่โรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติ อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ และกำลังส่งต่อเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลค่ายวีรวัฒน์โยธิน ตามที่ข่าวเสนอไปนั้น
.
เมื่อวันที่ 12 ส.ค. 68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีผู้ใช้เฟซบุ๊ก “จ่าไอซ์ ทัพฟ้า” ได้ออกมาโพสต์เรื่องราวสุดสะเทือนใจ หลังเกิดเหตุระเบิดที่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลให้ทหารพรานได้รับบาดเจ็บสาหัส โดยเจ้าของโพสต์ได้พูดคุยกับเพื่อนทหารพราน ซึ่งอยู่ในพื้นที่เดียวกันกับผู้บาดเจ็บ เผยถึงความรู้สึกกดดัน เสี่ยงอันตราย และความไม่แน่นอนของสถานการณ์ พร้อมเรียกร้องให้ภาครัฐเร่งหาทางแก้ไขอย่างจริงจัง เพื่อความปลอดภัยของกำลังพลในพื้นที่แนวหน้า
.
โดยเจ้าของโพสต์ ระบุข้อความว่า “พวกผมไม่ไหวแล้วนะเว้ยพี่ ผมโทรฯ คุยกับเพื่อนที่เป็นทหารพราน อยู่กับพี่ธีรพลที่ขาขาด เสียงเล่าออกมาจากหัวใจ ร้องไห้ แต่แฝงไปด้วยความเข้มแข็ง บอกผมว่า พวกผมไม่ไหวแล้วนะเว้ยพี่“
.
อย่างไรก็ตาม ผู้โพสต์อธิบายอีกว่า “วันนี้เป็นพี่เขา วันพรุ่งนี้อาจเป็นผม มะรืนอาจเป็นน้องอีกคน เราไม่รู้เลยว่ามันวางไว้ตรงไหน จะทำอะไรอยากให้รัฐบาลสั่ง เอาให้จบจบไปเลย พวกผมไม่ไหวแล้วเว้ยพี่”
.
ขอบคุณข้อมูล : จ่าไอซ์ ทัพฟ้า
.
.

.
ทบ.โวยกัมพูชาลอบทำร้าย หลังทหารเหยียบกับระเบิด ฮึ่มใช้สิทธิ์ปกป้องตัวเอง
.
ทบ.โวยกัมพูชาลอบทำร้าย หลังทหารเหยียบกับระเบิด ฮึ่มใช้สิทธิ์ปกป้องตัวเอง
.
เมื่อวันที่ 12 ส.ค.68 ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงเหตุการณ์ เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2568 เวลาประมาณ 09.10 น. สิบเอก ธีรพล เพียขันที สังกัดกองร้อยทหารพรานที่ 2610 พร้อมกำลังพลรวม 7 นาย ปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนตามแนวชายแดนไทย บนเส้นทางประจำ ห่างจากปราสาทตาเมือนธม จังหวัดสุรินทร์ ประมาณ 1 กิโลเมตร ระหว่างปฏิบัติภารกิจ สิบเอก ธีรพลฯ ได้เหยียบทุ่นระเบิดสังหารบุคคลที่ฝ่ายกัมพูชาลอบวางไว้ ส่งผลให้ได้รับบาดเจ็บสาหัสบริเวณข้อเท้าซ้าย ปัจจุบันได้รับการรักษาที่โรงพยาบาลพนมดงรัก อาการพ้นขีดอันตรายแล้ว
.
เหตุการณ์นี้เป็นหลักฐานชัดเจนว่าฝ่ายกัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง และไม่เคารพต่อกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอนุสัญญาออตตาวา ซึ่งห้ามใช้และวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลทุกชนิด นับเป็นการลอบโจมตีที่มีเป้าหมายต่อกำลังพลฝ่ายไทยโดยตรง และเกิดขึ้นในเขตแดนไทย
.
ยิ่งไปกว่านั้น เหตุลักษณะเดียวกันนี้เคยเกิดขึ้นหลายครั้งในพื้นที่ชายแดน สะท้อนถึงเจตนาร้ายและพฤติกรรมต่อเนื่องของฝ่ายกัมพูชาในการคุกคามฝ่ายไทย และละเมิดบูรณภาพแห่งดินแดนไทย สวนทางกับข้อตกลงหยุดยิงระหว่างประเทศในการประชุม GBC ที่ผ่านมา จึงเป็นเครื่องยืนยันได้ว่า การใช้อาวุธโดยฝั่งกัมพูชายังคงมีอยู่ตลอดเวลาในช่วงมีข้อตกลงหยุดยิง
.
ยอมรับว่าพฤติกรรมและการกระทำลักษณะเช่นนี้ย่อมเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการในมาตรการหยุดยิงอย่างแน่นอน รวมถึงเป็นท่าทีที่ชัดเจนว่าฝ่ายกัมพูชาต้องการจะคุกคามฝ่ายไทย ด้วยการใช้อาวุธทางทหารในรูปแบบซ้อนเร้นไม่เปิดเผย ทำให้เชื่อได้ว่ากัมพูชายังคงดำรงความมุ่งหมายที่จะทำร้ายฝ่ายไทยด้วยรูปแบบลอบทำร้ายอยู่เช่นนี้ตลอดเวลา ถึงแม้ว่า ณ ช่วงเวลานี้จะอยู่ในช่วงการตกลงที่จะหยุดยิง ซึ่งต้องไม่มีการใช้อาวุธต่อกันในทุกรูปแบบ” โฆษกกองทัพบก กล่าว
.
พล.ต.วินธัย กล่าวอีกว่า นอกจากนี้สิ่งที่เกิดขึ้นยังสอดรับกันอย่างเป็นระบบโดยเฉพาะจากการที่กัมพูชาไม่ยอมตอบรับข้อเสนอฝ่ายไทย ในเรื่องของทุ่นระเบิดจากการประชุม GBC ในครั้งที่ผ่านมา จึงเชื่อว่าเรื่องทุ่นระเบิดนี้น่าจะมีการวางแผนใช้กันมาอย่างเป็นระบบเพื่อเจตนานำมาใช้คุกคามทำร้ายฝ่ายไทย
.
ซึ่งที่ผ่านมากองทัพบกได้ยึดมั่นในแนวทางสันติวิธีมาโดยตลอด และไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มก่อน แต่หากสถานการณ์บีบบังคับก็อาจจำเป็นต้องใช้สิทธิ์ในป้องกันตนเองภายใต้หลักกฎหมายระหว่างประเทศในการคลี่คลายสถานการณ์ที่ทำให้ฝ่ายไทยต้องสูญเสียกำลังพลอย่างต่อเนื่อง จากการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงและรุกล้ำอธิปไตยของทหารกัมพูชา
.

.
กูรูเสียงแตกวัดใจกนง. 13 ส.ค. สิ้นปีนี้ได้เห็นดอกเบี้ย 1.25%
.
กูรูนักเศรษฐศาสตร์เสียงแตก ลุ้นกนง. พรุ่งนี้ (13 ส.ค.) คงหรือลดดอกเบี้ย คาดสิ้นปีได้เห็นแตะ 1.25%
.
นายเมธัส รัตนซ้อน นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ ธนาคารทิสโก้ เปิดเผยว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีแนวโน้มจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 1.75% ในการประชุมวันที่ 13 ส.ค. นี้ เนื่องจากพื้นที่ในการดำเนินนโยบายมีจำกัด หลังจากมีการปรับอัตราดอกเบี้ยไปแล้วรวม 0.75% ในช่วงที่ผ่านมา และอัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐ ค่อนข้างสอดคล้องกับสมมุติฐานของธนาคารแห่งประเทศไทย
.
นอกจากนี้ยังประเมินว่ามีความเป็นไปได้ที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะปรับลดลงอีกในช่วงปลายปี ไปอยู่ที่ 1.25% ในปีนี้ โดยอาจเกิดขึ้นในการประชุม 2 ครั้งสุดท้ายในเดือน ต.ค. และเดือน ธ.ค. ซึ่งเป็นช่วงที่คุณวิทัย รัตนากร จะเข้ามาดำรงตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
.
น.ส.ลลิตา เธียรประสิทธิ์ ผู้บริหารงานวิจัย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า ในการประชุม กนง. วันที่ 13 ส.ค. นี้ คาด กนง. มีแนวโน้มคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 1.75% หลังปรับลดมาแล้ว 0.50% ในปีนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2 คาดว่าจะยังขยายตัวใกล้ 3% จากการเร่งส่งออก ขณะที่ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจลดลงหลังสหรัฐประกาศภาษีนำเข้ากับสินค้าไทยที่อัตรา 19% ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นจากที่เคยประเมินไว้ แม้เศรษฐกิจจะยังเผชิญปัจจัยกดดันจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลงและปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา
.
ขณะที่ในช่วงที่เหลือของปีนี้ กนง. อาจปรับลดดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติม 1-2 ครั้ง ใน 2 การประชุมที่เหลือของปีนี้ในเดือน ต.ค. และ ธ.ค. เพื่อรองรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่คาดว่าจะชะลอลงในไตรมาส 4 อย่างไรก็ตามแม้อัตราภาษีสหรัฐที่ไทยได้รับดีขึ้น แต่การส่งออกไทยในครึ่งหลังของปี 68 ต่อเนื่องไปยังปี 69 มีแนวโน้มลดลงอย่างมาก เป็นผลจากการเร่งส่งออกสูงในช่วงก่อนหน้า และผลของอัตราภาษีที่ 19% ที่ยังสูงกว่าในช่วงก่อนหน้า รวมทั้งยังมีความเสี่ยงจากภาษีรายอุตสาหกรรมภายใต้มาตรา 232 ที่จะออกมาเพิ่มเติม ส่วนภาคการท่องเที่ยวยังหดตัวต่อเนื่อง โดยนับตั้งแต่ต้นปีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลงแล้วกว่า 6% จากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ปรับลดกว่า 30%
.
น.ส.ฐิติมา ชูเชิด ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจมหภาค ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า คาดช่วงที่เหลือของปีนี้ อาจเห็นการตัดสินลดดอกเบี้ยนโยบายผ่อนคลายนโยบายการเงินมากขึ้นอีก 2 ครั้ง รวม 0.50% อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ณ สิ้นปีนี้จะไปอยู่ที่ 1.25%
.
นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย กล่าวว่า คาด กนง. ในวันที่ 13 ส.ค.นี้ จะลดดอกเบี้ยนโยบายเหลือ 1.50% จากปัจจุบัน 1.75% เพราะเศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญแรงกดดันหลายด้าน ทั้งเงินเฟ้อต่ำลากยาว เศรษฐกิจขยายตัวต่ำ และความเสี่ยงด้านเครดิตที่สูงขึ้น
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่