@@@ทุนสามานย์กับธนาคารแห่งประเทศไทย@@@

กระทู้สนทนา
วานนี้ พูดถึงชะตากรรมธนาคารของรัฐภายใต้ระบอบทักษิณ ไม่ว่าจะเป็นเอสเอ็มอีแบงก์-ออมสิน-ธ.ก.ส. ล้วนแต่ถูกรัฐบาลยิ่งลักษณ์ใช้เป็นเครื่องมือถลุงเงินผ่านนโยบายประชานิยม กระทั่งสภาพกรอบแกรบ

วันนี้ ปรากฏว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือแบงก์ชาติ ธนาคารกลางของประเทศ กำลังจะถูกรุกคืบครั้งสำคัญโดยระบอบทักษิณโดยพยายามกดดันให้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก

1) แบงก์ชาติมีหน้าที่โดยตรง คือ การใช้นโยบายการเงินเป็นเครื่องมือกำกับดูแลเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ ไม่ให้เงินฝืด ไม่ให้เงินเฟ้อ

บ่อยครั้ง การทำหน้าที่ของแบงก์ชาติไม่เป็นไปตามความต้องการของฝ่ายการเมือง

เพราะวิสัยของนักการเมือง มักนิยมดอกเบี้ยต่ำ หวังกระตุ้นการลงทุน การกู้ยืม การบริโภค เพื่อเกิดภาวะเศรษฐกิจที่มีความคึกคัก มีการจับจ่ายใช้สอย ขยายตัวฟู่ฟ่า สร้างกระแสนิยมทางการเมือง มากกว่าจะคำนึงถึงความเสี่ยงและผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจส่วนรวมในระยะยาว ซึ่งอาจจะเกิดภาวะเงินเฟ้อรุนแรง

ลองคิดดู หากแม้นเศรษฐกิจขยายตัว ประชาชนมีรายได้ที่เป็นตัวเงินเพิ่มสูงขึ้น แต่เงินเฟ้อรุนแรงสูงกว่าอัตราเพิ่มขึ้นของรายได้ ก็จะกลายเป็นว่า รายได้ที่แท้จริงของประชาชนลดลง เพราะปริมาณรายได้ที่เป็นตัวเงินเพิ่มไม่ทันระดับราคาค่าครองชีพที่แพงขึ้น

ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย จึงได้วางกรอบการทำงานของแบงก์ชาติให้เป็นไปตามหลักสากล มีความเป็นอิสระ มิให้ฝ่ายการเมืองสั่งการหรือกดปุ่มเอาตามอำเภอใจ สามารถเลือกใช้นโยบายทางการเงินที่เหมาะสม สอดคล้องกับภาวการณ์เศรษฐกิจ

2) เครื่องมือสำคัญในการกำหนดนโยบายการเงิน คือ อัตราดอกเบี้ยนโยบาย

และกลไกที่มีอำนาจหน้าที่โดยตรง ก็คือ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะกำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบายว่าควรจะอยู่ในอัตราเท่าใด ซึ่งกฎหมายให้ทำหน้าที่โดยไม่ถูกสั่งการจากฝ่ายการเมือง แม้แต่ผู้บริหารแบงก์ชาติเองก็จะเข้าไปสั่งการตามอำเภอใจไม่ได้

กนง.จะต้องตัดสินใจกำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย บนพื้นฐานของหลักวิชาการ ความจริงทางเศรษฐกิจ มิใช่ความต้องการทางการเมือง

จะให้นักการเมืองไปสั่งการขึ้นดอกเบี้ย หรือลดดอกเบี้ย ไม่มีอารยประเทศที่ไหนทำกัน!

ข้อพึงปฏิบัติข้อแรกเลยของกรรมการนโยบายการเงิน (เขียนไว้ชัดเจนในเว็บไซต์ของแบงก์ชาติ) คือ

“(1) กรรมการพึงปฏิบัติหน้าที่ด้วยความอิสระในการออกความคิดเห็นและตัดสินใจ โดยถือประโยชน์โดยรวมต่อระบบเศรษฐกิจไทยเป็นสำคัญ และพึงวางตัวเพื่อให้เกิดความมั่นใจต่อสาธารณชนว่า มีความเป็นอิสระจากการเมือง”

กนง. จะต้องกำหนดนโยบายการเงินที่เหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจการเงินของประเทศ เพื่อให้เกิดเสถียรภาพด้านราคา และการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนและมีเสถียรภาพ นอกจากนี้ กนง. มีส่วนในการกำหนดแนวนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนที่เหมาะสมกับนโยบายการเงิน

3) รายงานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินครั้งที่ผ่านมา เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2556 เปิดเผยในเว็บไซต์ธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุชัดถึงเหตุผลและข้อเท็จจริงในการกำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยมีกรรมการ กนง.ที่เข้าร่วมประชุม ครบทั้ง 7 คน ได้แก่ นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล (ประธาน), นางผ่องเพ็ญ เรืองวีรยุทธ, นางทองอุไร ลิ้มปิติ, นายอำพน กิตติอำพน,
นายศิริ การเจริญดี, นายณรงค์ชัย อัครเศรณี และนายอัศวิน คงสิริ

รายงานบางตอน ระบุว่า กนง. ได้หารือเกี่ยวกับทางเลือกที่เหมาะสมในการดำเนินนโยบายการเงิน

“...ภาวะการเงินในปัจจุบันอยู่ในระดับผ่อนปรนเพียงพอที่จะรองรับความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจต่างประเทศที่ยังเหลืออยู่ สะท้อนจากอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงที่ยังติดลบเล็กน้อย และสินเชื่อภาคเอกชนที่ยังขยายตัวในอัตราสูงต่อเนื่อง ขณะที่การเร่งตัวของสินเชื่อภาคเอกชนโดยเฉพาะสินเชื่อภาคครัวเรือนบางประเภทอาจก่อให้เกิดการเร่งตัวของหนี้ครัวเรือน และนำไปสู่การสะสมความไม่สมดุลในระบบการเงินได้

คณะกรรมการฯ จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 2.75 ต่อปี

ทั้งนี้ คณะกรรมการบางท่านให้ข้อสังเกตว่า แม้ระดับอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันมีความเหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจการเงินของประเทศ แต่จำเป็นต้องระมัดระวังและติดตามประเด็นความเสี่ยงที่อาจกระทบเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินของประเทศในระยะข้างหน้าด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเร่งตัวของสินเชื่อและหนี้ภาคครัวเรือน ความผันผวนของเงินทุนเคลื่อนย้ายในภาวะที่ประเทศหลักยังดำเนินนโยบายการเงินผ่อนปรนต่อเนื่อง และระดับหนี้สาธารณะของภาครัฐที่แม้ปัจจุบันยังอยู่ในกรอบความยั่งยืนทางการคลังแต่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น”

สะท้อนชัดว่า กนง.มองเห็นด้วยซ้ำว่า นโยบายของฝ่ายการเมืองปัจจุบันกำลังเพิ่มความเสี่ยง หรือเป็นอันตรายต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ!

4) แทนที่รัฐบาลจะสำเหนียก กลับปรากฏว่า รองนายกฯ กิตติรัตน์ ณ ระนอง รัฐมนตรีคลัง ถึงขนาดทำหนังสือถึงนายวีรพงษ์ รามางกูร ประธานคณะกรรมการ ธปท. เพื่อเสนอให้ กนง.ลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีก

รายงานข่าวระบุว่า ในที่ประชุม ครม. รัฐมนตรีคลังถึงกับโจมตีนโยบายการเงินของแบงก์ชาติ บอกว่า แบงก์ชาติทำตัวเหมือนเป็นเจ้ากรมเงินเฟ้อห่วงแต่เงินเฟ้อ ไม่ยอมปรับลดอัตราดอกเบี้ย ทั้งๆ ที่มีเงินทุนไหลเข้ามามาก

นี่น่าจะเป็นการกดดันการทำหน้าที่ของ กนง.อย่างชัดเจน

อาจจะเข้าข่ายคุกคาม หรือพยายามแทรกแซงนโยบายการเงิน ผ่านไปทางประธานคณะกรรมการ ธปท. (ผู้เข้ามาดำรงตำแหน่งโดยการผลักดันของรัฐบาลปัจจุบัน) ด้วยซ้ำ!

ผิดกฎหมายหรือไม่? เกินอำนาจหน้าที่หรือไม่? ควรสำนึกได้หรือยัง?

สุดท้าย...หากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ครอบงำ กนง.ได้เบ็ดเสร็จเมื่อใดก็เท่ากับระบอบทักษิณและทุนสามานย์เข้ายึดครองหัวใจระบบเศรษฐกิจการเงินของประเทศชาติแบบเบ็ดเสร็จ

เมื่อนั้น ประเทศไทยนับถอยหลังไปสู่การล้มละลายได้เลย โดยอาการจะเป็นเหมือนคนถูกผีปอบกินตับ กินล้างกินผลาญ กินจากภายในกระทั่งหมดไส้หมดพุง ก่อนจะทรุดฮวบ ไปไม่กลับ หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี หนีไม่พ้น!

ที่มา:http://www.naewna.com/politic/columnist/5276

ปล.คนที่ได้ผลประโยชน์คือนักการเมือง....ประชาชนซวย เหมือนเดิม...เอิ๊ก ๆ ๆ


แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่