มีนิยายเรื่องนึงมาแนะนำ เป็นเรื่องราวอิงประวัติศาสตร์ ช่วงต้นกรุงศรีอยุธยา ที่แทบไม่เคยเห็นใครจับช่วงเวลานี้มาทำละคร หรือเขียนเป็นนิยาย
และเป็นช่วงที่อยุธยาทำศึกกับกัมพูชาเป็นครั้งแรก ที่ถูกบันทึกไว้ในพระราชพงศาวดารด้วย
เอาตอนที่ 1 มาให้ลองอ่าน ถ้าชอบก็ลองไปอ่านต่อใน ReadAWrite
"จันทราใต้เงาสงคราม"
ปีพุทธศักราช 1895 ในยามพลบค่ำของคืนหนึ่ง ความมืดมิดปกคลุมทั่วท้องทุ่งกว้างใกล้เมืองนครธม ไร้แสงจากดวงจันทร์ มีเพียงเงารางๆ ของเหล่าทหารที่แฝงตัวในความมืด ดวงตาแวววาวสะท้อนประกายแห่งความมุ่งมั่นและความตาย
เสียงโห่ร้องกึกก้องสะท้อนไปทั่ว เสียงฝีเท้าของหมู่คนและฝูงม้าดังกระหึ่ม แผ่กระจายดั่งคลื่นที่ถาโถมเข้าใส่ศัตรูที่ยังอ่อนล้าจากการเดินทาง ทุกจังหวะก้าวเต็มไปด้วยแรงผลักดันของโชคชะตาและเสียงสะท้อนแห่งสงครามที่ไม่มีวันหยุดนิ่ง
เสียงกระทบกันของศาสตราวุธนานาชนิดดังกึกก้องไม่ขาดสาย โลหะกระแทกกับโลหะ ดาบปะทะโล่ หอกเสียบทะลุเนื้อ เสียงเหล่านี้คือผลลัพธ์ของสิ่งที่มนุษย์สรรค์สร้างขึ้นมา ไม่ใช่เพื่อความงดงาม แต่เพื่อทำลาย ต่อสู้ หรือปกป้องชีวิตของตน
กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วอากาศ ผสมปนเปกับกลิ่นควันของคบไฟที่ถูกเหวี่ยงทิ้งลงบนพื้นดินราวกับเศษซากแห่งความสิ้นหวัง
เสียงคมดาบที่เชือดเฉือนลงบนเนื้อหนังศัตรูดังก้องอยู่ในหู ความเย็นเฉียบของเหล็กปะทะกับผิวหนังในชั่วพริบตา ก่อนที่ความเจ็บแสบจะแล่นพล่านไปทั่วร่าง รวดเร็วเกินกว่าจะตั้งตัว
ความโกลาหลปกคลุมไปทั่วสนามรบ ทหารนายหนึ่งเงื้อดาบฟาดลงด้วยความบ้าคลั่ง ท่ามกลางเสียงตะโกนและเสียงฝีเท้าที่วุ่นวาย คมดาบเฉือนลึกอย่างไร้ความลังเล ก่อนที่เขาจะรู้ตัวว่า ผู้ที่ล้มลงไม่ใช่ศัตรู แต่คือเพื่อนร่วมทัพเดียวกัน
เสียงกรีดร้องของความเจ็บปวดดังระงมไปทั่วทุกสารทิศ ปะปนกับเสียงคำรามของนักรบที่ยังยืนหยัดอยู่ในสนามรบ เสียงสบถและตะโกนข่มขวัญศัตรูดังกึกก้องยิ่งกว่าเสียงของความเจ็บปวด เสียงเหล่านั้นประสานกันเป็นบทเพลงอันโหดร้ายของสงคราม บทเพลงที่ไม่มีจังหวะของความเมตตา มีเพียงจังหวะของการเอาชีวิตรอด
สงครามที่ไม่ทันตั้งตัว โถมเข้ากระหน่ำกองทัพหน้าที่เพิ่งยกมาหยุดเตรียมตั้งค่าย เหล่าทหารอ่อนล้าจากการเดินทาง ไร้เรี่ยวแรงจะต้านทาน ความเหน็ดเหนื่อยสะสมกลายเป็นช่องโหว่ที่ศัตรูไม่ลังเลจะฉวยโอกาส
เสียงโห่ร้องขับไล่ของศัตรู ประสานกับเสียงโหยหวนของผู้บาดเจ็บ ดังกึกก้องไปทั่วสนามรบ ราวกับเสียงของยมทูตที่แฝงตัวอยู่ในเงามืด คอยหลอกหลอนและล่าเอาชีวิตทีละคน... ทีละคน
“ถอย! ถอยเดี๋ยวนี้!”
เสียงคำสั่ง "ถอย" ดังก้องท่ามกลางความโกลาหล มันไม่ใช่แค่คำสั่งในการสงคราม แต่มันคือรอยประทับของความพ่ายแพ้ คำเพียงคำเดียวที่แทรกซึมเข้าไปถึงหัวใจของทุกคน ราวกับคำสาปที่ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้
นายกองหนุ่มยังคงยืนหยัด ท่ามกลางความโกลาหลที่โหมกระหน่ำ เขาฟาดดาบใส่ศัตรูด้วยเรี่ยวแรงสุดท้าย หัวใจเต็มไปด้วยความหดหู่เมื่อเห็นร่างของสหายทรุดลงต่อหน้า เลือดแดงฉานไหลนองพื้นดินเย็นเฉียบ
ดาบในมือของเขายังคงกระหน่ำฟันไม่หยุด แม้จะรู้ว่ามันไม่อาจเปลี่ยนชะตากรรมได้ แม้คำสั่งถอยจะก้องกังวานไปทั่วสนามรบ แต่เสียงแห่งความตายกลับดังกว่า เสียงกรีดร้อง ความเจ็บปวด และเสียงคำรามสุดท้ายของเหล่าทหารที่กำลังสิ้นใจ
เขากำดาบแน่นจนรู้สึกถึงความเย็นเยียบของเหล็กที่ซึมลึกถึงกระดูก แม้แต่เสียงตะโกนของเขาเองก็ถูกกลืนหายไปในเสียงอื้ออึงของความโกลาหล แต่ในใจของเขายังคงตะโกนดังยิ่งกว่าเสียงใด
‘ต้องรอด… ต้องพาทุกคนกลับไปให้ได้!’
ร่างกายของเขาสั่นเทา ราวกับลูกนกที่กำลังเผชิญหน้ากับพายุใหญ่ สายตาจับจ้องไปยังศพแล้วศพเล่าของเหล่าทหารที่เขาเป็นผู้นำมา ศพของความหวังที่ดับลงต่อหน้าต่อตา
เสียงกรีดร้องยังคงดังก้องอยู่ในหัว ไม่เคยเงียบหาย เมื่อรู้ว่าศึกครั้งนี้ไม่อาจต้านทานได้อีกต่อไป เขาจึงกัดฟันแน่น ก่อนจะตะโกนสุดเสียง อีกครั้ง
“ถอย! ถอยทัพเดี๋ยวนี้!”
แต่แม้คำสั่งนั้นจะถูกส่งผ่านไปในอากาศ เสียงกระทบกันของคมดาบก็ยังคงดังไม่หยุด ราวกับเสียงสะท้อนของความตายที่ตามไล่ล่า ไม่มีวี่แววจะจางหายไปจากสนามรบที่เปื้อนเลือดแห่งนี้
ณ….กองทัพหลวง
ทัพใหญ่จากเมืองลพบุรีเคลื่อนพลอย่างมุ่งมั่น พร้อมทหาร 5,000 นาย นำโดยแม่ทัพหนุ่มผู้ยังอ่อนประสบการณ์ แต่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและศรัทธาในหน้าที่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระราเมศวร ผู้ทรงได้รับพระราชโองการจากพระราชบิดาให้นำทัพไปตีเมืองกัมพูชาให้จงได้ โดยมีพระศรีสวัสดิ์ พระญาติผู้ใกล้ชิดร่วมศึกเคียงข้างในครั้งนี้
พระศรีสวัสดิ์กำดาบแน่นจนรู้สึกถึงความเย็นเยียบของเหล็ก เพียงเสี้ยวอึดใจ ความกลัวแวบผ่านหัวใจของพระองค์ แต่พระองค์รู้ดีว่าความลังเลเพียงชั่วพริบตา อาจหมายถึงความพ่ายแพ้ของทั้งกองทัพ พระเนตรที่แข็งกร้าวจึงซ่อนความหวั่นไหวไว้เบื้องหลัง เก็บงำไว้ใต้เกราะเหล็กแห่งศักดิ์ศรีและเกียรติยศแห่งนักรบ
ในคืนนั้น เสียงโห่ร้องกึกก้องสะท้อนไปทั่วผืนป่า สั่นสะเทือนทั้งแผ่นดินและใจผู้คน ความวุ่นวายแผ่ขยายราวกับคลื่นที่กระทบฝั่ง ทำให้เหล่าสัตว์ป่าตื่นตระหนก นกกาฝูงใหญ่แตกฮือบินหนีออกจากรังอย่างอลหม่าน เสียงดังมาจากทิศบูรพา ปลุกให้กองทัพหลวงที่กำลังหยุดพัก เงียบสงัดลงในบัดดล ทุกสายตาหันขวับไปยังความมืดมิดของชายป่าฝั่งตะวันออก ที่นั่นคือจุดหมายที่พวกเขาต้องเดินทางไปในวันรุ่ง
พระศรีสวัสดิ์ไม่รีรอ รีบเสด็จออกไปยังหน้ากองเพื่อดูให้แน่ชัดว่าเกิดสิ่งใดขึ้น พระองค์สั่งการอย่างเร่งด่วนให้เหล่าทหารเตรียมพร้อม แม้ว่าความจริงแล้ว กองทัพทั้งกองในขณะนั้นยังแทบไม่พร้อม สำหรับศึกใหญ่ที่อาจจะมาเยือนในทุกขณะก็ตาม
บรรยากาศที่เคยเงียบสงัดจนน่าขนลุก ความมืดมิดโอบล้อมทุกสรรพสิ่งไว้ราวกับผืนผ้าห่มแห่งความตาย จู่ ๆ เสียงกลองศึกก็ดังขึ้นจากทิศตะวันออก เสียง "ตุ้ม... ตุ้ม... ตุ้ม..." ดังก้องสะท้อนในอกของเหล่าทหาร ทุกจังหวะราวกับเป็นเสียงหัวใจที่เต้นระรัวด้วยความหวาดหวั่น ท่ามกลางความมืดที่ไม่อาจคาดเดาได้ว่ามีอะไรแฝงเร้นอยู่
เพียงไม่กี่อึดใจหลังจากเสียงกลองศึก เงารางๆ ของกลุ่มคนเริ่มปรากฏในม่านมืด เงาทมิฬเคลื่อนไหวราวกับเงาของมัจจุราช แสงสลัวจากปลายธนูไฟวาบขึ้น ราวกับเปลวเพลิงแห่งความตายที่กำลังพุ่งตรงมายังกองทัพหลวง แสงไฟสะท้อนในดวงตาที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกของเหล่าทหาร
ก่อนที่กองทัพใหญ่จะทันตั้งตัว เสียงฝีเท้าหนักหน่วงและเสียงตะโกนโหวกเหวกก็ดังใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว ทัพหน้าที่ถูกตีแตกอย่างยับเยิน ถอยร่นมาด้วยความแตกตื่น ร่างของทหารบางนายเต็มไปด้วยบาดแผล ร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด ปะปนกับเสียงหอบหายใจ ของผู้ที่พยายามหนีเอาชีวิตรอด
เสียงตะโกนก้องของนายกองทัพหน้า ดังทะลุความวุ่นวายออกมาอย่างชัดเจน ราวกับเป็นประกาศเตือนถึงหายนะที่ใกล้เข้ามา
"ทัพกรุงกัมพูชาธิบดีมาแล้ว! เตรียมตั้งรับบัดเดี๋ยวนี้!"
เสียงนั้นดังก้องกังวานไปทั่วทั้งค่ายศึก ปลุกเร้าให้หัวใจของเหล่าทหารเต้นระรัวอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะความหวาดกลัว แต่เป็นเพราะศึกใหญ่ได้มาถึงแล้ว
“เกิดเหตุอันใดขึ้นเล่า ท่านนายกอง!” พระศรีสวัสดิ์ แม่ทัพใหญ่ทรงก้าวฉับเข้าไปถามด้วยน้ำเสียงเข้มขึง แววตาเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด ขณะที่นายกองหนุ่มถลาเข้ามาในค่าย หน้าเปื้อนฝุ่นและเหงื่อ หายใจหอบรุนแรง ราวกับวิ่งหนีเงาของความตายมาด้วย
“กองทัพ... ของกรุงกัมพูชาธิบดี... พระพุทธเจ้าข้า!” นายกองหนุ่มพยายามข่มเสียงหอบ แต่ลมหายใจยังติดขัดจากความเหนื่อยล้าและความหวาดหวั่น
“นำทัพมาโดยพระยาอุปราช พระราชบุตรแห่งพระบรมลำพงศ์ เจ้าเมืองกัมพูชาธิบดี...”
น้ำเสียงของเขาสั่นไหวเล็กน้อย ขณะที่ความทรงจำ ของฉากการสังหารอย่างโหดเหี้ยม ยังไม่จางหาย
“...พระองค์ยกทัพตีโถมเข้าใส่เราโดยไม่ทันตั้งตัว กองทัพของข้ากำลังเตรียมตั้งค่ายพัก ทันใดนั้นพวกเขาก็โผล่มาจากเงามืด ไม่รู้ว่ามาจากทางใด พวกมันเร็วและดุร้าย เกินกว่าจะต้านทานได้... เราเสียพลไปมากนัก จำเป็นต้องถอยทัพกลับมาที่นี่ เพื่อรักษาชีวิตของคนที่เหลือ พระพุทธเจ้าข้า”
เสียงหอบหายใจของนายกองหนุ่มดังแข่งกับเสียงลมที่หวีดหวิวในยามค่ำ ราวกับธรรมชาติเองก็รับรู้ถึงเงาของหายนะ ที่กำลังคืบคลานเข้ามา
พระศรีสวัสดิ์กัดฟันแน่น ดวงตาวาววับด้วยความกราดเกรี้ยว แต่พระองค์ทรงข่มอารมณ์ด้วยความเยือกเย็นอย่างแม่ทัพผู้แบกรับความหวังของกองทัพทั้งกอง
“เอาล่ะ! ข้าขอให้ทุกคนเตรียมพร้อมไว้!”
พระองค์เปล่งเสียงดังก้องไปทั่วค่ายศึก น้ำเสียงดุดันแข็งกร้าวดั่งเสียงฟ้าคำราม ปลุกเร้าให้หัวใจของเหล่าทหารที่กำลังหวั่นไหวกลับมามั่นคงอีกครั้ง
ท่ามกลางความโกลาหลนั้น แววตาของทหารทุกนายเปลี่ยนไป จากความหวาดกลัวเป็นความมุ่งมั่น พร้อมเผชิญหน้ากับโชคชะตา ไม่ว่าผลจะลงเอยเช่นไร
.........
นิยายอิงประวัติศาสตร์ ในยุคก่อตั้งกรุงอยุธยา ช่วงรบกับกัมพูชา
และเป็นช่วงที่อยุธยาทำศึกกับกัมพูชาเป็นครั้งแรก ที่ถูกบันทึกไว้ในพระราชพงศาวดารด้วย
เอาตอนที่ 1 มาให้ลองอ่าน ถ้าชอบก็ลองไปอ่านต่อใน ReadAWrite
"จันทราใต้เงาสงคราม"
ปีพุทธศักราช 1895 ในยามพลบค่ำของคืนหนึ่ง ความมืดมิดปกคลุมทั่วท้องทุ่งกว้างใกล้เมืองนครธม ไร้แสงจากดวงจันทร์ มีเพียงเงารางๆ ของเหล่าทหารที่แฝงตัวในความมืด ดวงตาแวววาวสะท้อนประกายแห่งความมุ่งมั่นและความตาย
เสียงโห่ร้องกึกก้องสะท้อนไปทั่ว เสียงฝีเท้าของหมู่คนและฝูงม้าดังกระหึ่ม แผ่กระจายดั่งคลื่นที่ถาโถมเข้าใส่ศัตรูที่ยังอ่อนล้าจากการเดินทาง ทุกจังหวะก้าวเต็มไปด้วยแรงผลักดันของโชคชะตาและเสียงสะท้อนแห่งสงครามที่ไม่มีวันหยุดนิ่ง
เสียงกระทบกันของศาสตราวุธนานาชนิดดังกึกก้องไม่ขาดสาย โลหะกระแทกกับโลหะ ดาบปะทะโล่ หอกเสียบทะลุเนื้อ เสียงเหล่านี้คือผลลัพธ์ของสิ่งที่มนุษย์สรรค์สร้างขึ้นมา ไม่ใช่เพื่อความงดงาม แต่เพื่อทำลาย ต่อสู้ หรือปกป้องชีวิตของตน
กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วอากาศ ผสมปนเปกับกลิ่นควันของคบไฟที่ถูกเหวี่ยงทิ้งลงบนพื้นดินราวกับเศษซากแห่งความสิ้นหวัง
เสียงคมดาบที่เชือดเฉือนลงบนเนื้อหนังศัตรูดังก้องอยู่ในหู ความเย็นเฉียบของเหล็กปะทะกับผิวหนังในชั่วพริบตา ก่อนที่ความเจ็บแสบจะแล่นพล่านไปทั่วร่าง รวดเร็วเกินกว่าจะตั้งตัว
ความโกลาหลปกคลุมไปทั่วสนามรบ ทหารนายหนึ่งเงื้อดาบฟาดลงด้วยความบ้าคลั่ง ท่ามกลางเสียงตะโกนและเสียงฝีเท้าที่วุ่นวาย คมดาบเฉือนลึกอย่างไร้ความลังเล ก่อนที่เขาจะรู้ตัวว่า ผู้ที่ล้มลงไม่ใช่ศัตรู แต่คือเพื่อนร่วมทัพเดียวกัน
เสียงกรีดร้องของความเจ็บปวดดังระงมไปทั่วทุกสารทิศ ปะปนกับเสียงคำรามของนักรบที่ยังยืนหยัดอยู่ในสนามรบ เสียงสบถและตะโกนข่มขวัญศัตรูดังกึกก้องยิ่งกว่าเสียงของความเจ็บปวด เสียงเหล่านั้นประสานกันเป็นบทเพลงอันโหดร้ายของสงคราม บทเพลงที่ไม่มีจังหวะของความเมตตา มีเพียงจังหวะของการเอาชีวิตรอด
สงครามที่ไม่ทันตั้งตัว โถมเข้ากระหน่ำกองทัพหน้าที่เพิ่งยกมาหยุดเตรียมตั้งค่าย เหล่าทหารอ่อนล้าจากการเดินทาง ไร้เรี่ยวแรงจะต้านทาน ความเหน็ดเหนื่อยสะสมกลายเป็นช่องโหว่ที่ศัตรูไม่ลังเลจะฉวยโอกาส
เสียงโห่ร้องขับไล่ของศัตรู ประสานกับเสียงโหยหวนของผู้บาดเจ็บ ดังกึกก้องไปทั่วสนามรบ ราวกับเสียงของยมทูตที่แฝงตัวอยู่ในเงามืด คอยหลอกหลอนและล่าเอาชีวิตทีละคน... ทีละคน
“ถอย! ถอยเดี๋ยวนี้!”
เสียงคำสั่ง "ถอย" ดังก้องท่ามกลางความโกลาหล มันไม่ใช่แค่คำสั่งในการสงคราม แต่มันคือรอยประทับของความพ่ายแพ้ คำเพียงคำเดียวที่แทรกซึมเข้าไปถึงหัวใจของทุกคน ราวกับคำสาปที่ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้
นายกองหนุ่มยังคงยืนหยัด ท่ามกลางความโกลาหลที่โหมกระหน่ำ เขาฟาดดาบใส่ศัตรูด้วยเรี่ยวแรงสุดท้าย หัวใจเต็มไปด้วยความหดหู่เมื่อเห็นร่างของสหายทรุดลงต่อหน้า เลือดแดงฉานไหลนองพื้นดินเย็นเฉียบ
ดาบในมือของเขายังคงกระหน่ำฟันไม่หยุด แม้จะรู้ว่ามันไม่อาจเปลี่ยนชะตากรรมได้ แม้คำสั่งถอยจะก้องกังวานไปทั่วสนามรบ แต่เสียงแห่งความตายกลับดังกว่า เสียงกรีดร้อง ความเจ็บปวด และเสียงคำรามสุดท้ายของเหล่าทหารที่กำลังสิ้นใจ
เขากำดาบแน่นจนรู้สึกถึงความเย็นเยียบของเหล็กที่ซึมลึกถึงกระดูก แม้แต่เสียงตะโกนของเขาเองก็ถูกกลืนหายไปในเสียงอื้ออึงของความโกลาหล แต่ในใจของเขายังคงตะโกนดังยิ่งกว่าเสียงใด
‘ต้องรอด… ต้องพาทุกคนกลับไปให้ได้!’
ร่างกายของเขาสั่นเทา ราวกับลูกนกที่กำลังเผชิญหน้ากับพายุใหญ่ สายตาจับจ้องไปยังศพแล้วศพเล่าของเหล่าทหารที่เขาเป็นผู้นำมา ศพของความหวังที่ดับลงต่อหน้าต่อตา
เสียงกรีดร้องยังคงดังก้องอยู่ในหัว ไม่เคยเงียบหาย เมื่อรู้ว่าศึกครั้งนี้ไม่อาจต้านทานได้อีกต่อไป เขาจึงกัดฟันแน่น ก่อนจะตะโกนสุดเสียง อีกครั้ง
“ถอย! ถอยทัพเดี๋ยวนี้!”
แต่แม้คำสั่งนั้นจะถูกส่งผ่านไปในอากาศ เสียงกระทบกันของคมดาบก็ยังคงดังไม่หยุด ราวกับเสียงสะท้อนของความตายที่ตามไล่ล่า ไม่มีวี่แววจะจางหายไปจากสนามรบที่เปื้อนเลือดแห่งนี้
ณ….กองทัพหลวง
ทัพใหญ่จากเมืองลพบุรีเคลื่อนพลอย่างมุ่งมั่น พร้อมทหาร 5,000 นาย นำโดยแม่ทัพหนุ่มผู้ยังอ่อนประสบการณ์ แต่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและศรัทธาในหน้าที่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระราเมศวร ผู้ทรงได้รับพระราชโองการจากพระราชบิดาให้นำทัพไปตีเมืองกัมพูชาให้จงได้ โดยมีพระศรีสวัสดิ์ พระญาติผู้ใกล้ชิดร่วมศึกเคียงข้างในครั้งนี้
พระศรีสวัสดิ์กำดาบแน่นจนรู้สึกถึงความเย็นเยียบของเหล็ก เพียงเสี้ยวอึดใจ ความกลัวแวบผ่านหัวใจของพระองค์ แต่พระองค์รู้ดีว่าความลังเลเพียงชั่วพริบตา อาจหมายถึงความพ่ายแพ้ของทั้งกองทัพ พระเนตรที่แข็งกร้าวจึงซ่อนความหวั่นไหวไว้เบื้องหลัง เก็บงำไว้ใต้เกราะเหล็กแห่งศักดิ์ศรีและเกียรติยศแห่งนักรบ
ในคืนนั้น เสียงโห่ร้องกึกก้องสะท้อนไปทั่วผืนป่า สั่นสะเทือนทั้งแผ่นดินและใจผู้คน ความวุ่นวายแผ่ขยายราวกับคลื่นที่กระทบฝั่ง ทำให้เหล่าสัตว์ป่าตื่นตระหนก นกกาฝูงใหญ่แตกฮือบินหนีออกจากรังอย่างอลหม่าน เสียงดังมาจากทิศบูรพา ปลุกให้กองทัพหลวงที่กำลังหยุดพัก เงียบสงัดลงในบัดดล ทุกสายตาหันขวับไปยังความมืดมิดของชายป่าฝั่งตะวันออก ที่นั่นคือจุดหมายที่พวกเขาต้องเดินทางไปในวันรุ่ง
พระศรีสวัสดิ์ไม่รีรอ รีบเสด็จออกไปยังหน้ากองเพื่อดูให้แน่ชัดว่าเกิดสิ่งใดขึ้น พระองค์สั่งการอย่างเร่งด่วนให้เหล่าทหารเตรียมพร้อม แม้ว่าความจริงแล้ว กองทัพทั้งกองในขณะนั้นยังแทบไม่พร้อม สำหรับศึกใหญ่ที่อาจจะมาเยือนในทุกขณะก็ตาม
บรรยากาศที่เคยเงียบสงัดจนน่าขนลุก ความมืดมิดโอบล้อมทุกสรรพสิ่งไว้ราวกับผืนผ้าห่มแห่งความตาย จู่ ๆ เสียงกลองศึกก็ดังขึ้นจากทิศตะวันออก เสียง "ตุ้ม... ตุ้ม... ตุ้ม..." ดังก้องสะท้อนในอกของเหล่าทหาร ทุกจังหวะราวกับเป็นเสียงหัวใจที่เต้นระรัวด้วยความหวาดหวั่น ท่ามกลางความมืดที่ไม่อาจคาดเดาได้ว่ามีอะไรแฝงเร้นอยู่
เพียงไม่กี่อึดใจหลังจากเสียงกลองศึก เงารางๆ ของกลุ่มคนเริ่มปรากฏในม่านมืด เงาทมิฬเคลื่อนไหวราวกับเงาของมัจจุราช แสงสลัวจากปลายธนูไฟวาบขึ้น ราวกับเปลวเพลิงแห่งความตายที่กำลังพุ่งตรงมายังกองทัพหลวง แสงไฟสะท้อนในดวงตาที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกของเหล่าทหาร
ก่อนที่กองทัพใหญ่จะทันตั้งตัว เสียงฝีเท้าหนักหน่วงและเสียงตะโกนโหวกเหวกก็ดังใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว ทัพหน้าที่ถูกตีแตกอย่างยับเยิน ถอยร่นมาด้วยความแตกตื่น ร่างของทหารบางนายเต็มไปด้วยบาดแผล ร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด ปะปนกับเสียงหอบหายใจ ของผู้ที่พยายามหนีเอาชีวิตรอด
เสียงตะโกนก้องของนายกองทัพหน้า ดังทะลุความวุ่นวายออกมาอย่างชัดเจน ราวกับเป็นประกาศเตือนถึงหายนะที่ใกล้เข้ามา
"ทัพกรุงกัมพูชาธิบดีมาแล้ว! เตรียมตั้งรับบัดเดี๋ยวนี้!"
เสียงนั้นดังก้องกังวานไปทั่วทั้งค่ายศึก ปลุกเร้าให้หัวใจของเหล่าทหารเต้นระรัวอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะความหวาดกลัว แต่เป็นเพราะศึกใหญ่ได้มาถึงแล้ว
“เกิดเหตุอันใดขึ้นเล่า ท่านนายกอง!” พระศรีสวัสดิ์ แม่ทัพใหญ่ทรงก้าวฉับเข้าไปถามด้วยน้ำเสียงเข้มขึง แววตาเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด ขณะที่นายกองหนุ่มถลาเข้ามาในค่าย หน้าเปื้อนฝุ่นและเหงื่อ หายใจหอบรุนแรง ราวกับวิ่งหนีเงาของความตายมาด้วย
“กองทัพ... ของกรุงกัมพูชาธิบดี... พระพุทธเจ้าข้า!” นายกองหนุ่มพยายามข่มเสียงหอบ แต่ลมหายใจยังติดขัดจากความเหนื่อยล้าและความหวาดหวั่น
“นำทัพมาโดยพระยาอุปราช พระราชบุตรแห่งพระบรมลำพงศ์ เจ้าเมืองกัมพูชาธิบดี...”
น้ำเสียงของเขาสั่นไหวเล็กน้อย ขณะที่ความทรงจำ ของฉากการสังหารอย่างโหดเหี้ยม ยังไม่จางหาย
“...พระองค์ยกทัพตีโถมเข้าใส่เราโดยไม่ทันตั้งตัว กองทัพของข้ากำลังเตรียมตั้งค่ายพัก ทันใดนั้นพวกเขาก็โผล่มาจากเงามืด ไม่รู้ว่ามาจากทางใด พวกมันเร็วและดุร้าย เกินกว่าจะต้านทานได้... เราเสียพลไปมากนัก จำเป็นต้องถอยทัพกลับมาที่นี่ เพื่อรักษาชีวิตของคนที่เหลือ พระพุทธเจ้าข้า”
เสียงหอบหายใจของนายกองหนุ่มดังแข่งกับเสียงลมที่หวีดหวิวในยามค่ำ ราวกับธรรมชาติเองก็รับรู้ถึงเงาของหายนะ ที่กำลังคืบคลานเข้ามา
พระศรีสวัสดิ์กัดฟันแน่น ดวงตาวาววับด้วยความกราดเกรี้ยว แต่พระองค์ทรงข่มอารมณ์ด้วยความเยือกเย็นอย่างแม่ทัพผู้แบกรับความหวังของกองทัพทั้งกอง
“เอาล่ะ! ข้าขอให้ทุกคนเตรียมพร้อมไว้!”
พระองค์เปล่งเสียงดังก้องไปทั่วค่ายศึก น้ำเสียงดุดันแข็งกร้าวดั่งเสียงฟ้าคำราม ปลุกเร้าให้หัวใจของเหล่าทหารที่กำลังหวั่นไหวกลับมามั่นคงอีกครั้ง
ท่ามกลางความโกลาหลนั้น แววตาของทหารทุกนายเปลี่ยนไป จากความหวาดกลัวเป็นความมุ่งมั่น พร้อมเผชิญหน้ากับโชคชะตา ไม่ว่าผลจะลงเอยเช่นไร
.........