ไม่อยากรับรู้หรือตามแก้ไขปัญหาหนี้สินที่แม่ก่อเพิ่มแล้ว..

กระทู้คำถาม
เรื่องอาจจะยาวหน่อยนะครับ  ผมขอใช้พื้นที่นี้ในการระบายนะครับ

ก่อนอื่นต้องขอเกริ่นว่า ตั้งแต่ก่อนเรียนจบ (นับจากวันนี้ก็ผ่านมา5ปี) ผมเพิ่งรู้ว่าแม่ผมเป็นหนี้ ประมาณ เกือบๆ 300K   แต่ผมก็รู้ว่าหนี้พวกนี้ส่วนหนึ่งมันเกิดจากที่ส่งเราเรียน ผมก็ตั้งใจที่จะช่วยแม่ใช้มาตลอด พอผมมีงานทำเงินเดือนไม่ได้เยอะ ผมเริ่มคุยกับแม่ว่ามีหนี้เจ้าไหนบ้าง  พอคุยเสร็จ ผมเลยขอจัดการใช้หนี้เจ้าหนี้ที่คิดดอกให้แม่ก่อนเป็นอันดับแรก


เจ้าที่ 1 เงินต้น 100000 คิดดอกร้อยละ18% ต่อปีลดต้นลดดอก คุยตกลงกับเจ้าหนี้ว่าจะผ่อนใช้ต่อเดือนละ 3000 เท่าที่ไหว เพราะตอนนั้นผมเงินเดือน 18K  ส่วนหนี้เจ้าอื่นๆ แม่ก็จะรับผิดชอบเอง  ซึ่งในเงินเดือนที่ผมได้มาก็พยายามบริหารเงินส่วนหนึ่งเก็บออมทุกเดือน(3000-5000) ส่วนหนึ่งให้แม่ด้วย (3000)  ส่วนที่เหลือเป็นค่ากินอยู่กับค่าที่พักที่ผมต้องจ่ายทุกเดือน ผมก็ค่อยๆทะยอยใช้มาจนครบภายในระยะเวลาปีครึ่ง เพราะตอนนั้นผมได้เลื่อนตำแหน่งเร็ว มีเงินเดือนมากขึ้น มีเงินเก็บเยอะขึ้น พอจะมีเงินเก็บที่ใช้หนี้เป็นก้อนเพื่อรีบปิดจบได้ แต่แล้วพอผมใช้หนี้เจ้าหนี้หมดมันก็เหมือนจะมีเจ้าอื่นๆที่ผมต้องรับผิดชอบต่อ เพราะแม่ใช้ไม่ไหวเพราะผมสังเกตได้จากแม่ผมขอเงินถี่ขึ้น ให้เงินไปไม่ถึงอาทิตย์ขอเพิ่ม จนผมวางแผนตัวเองไม่ได้ ผมเลยถามว่ามันเกิดจากอะไร จนสุดท้ายแม่ยอมบอกว่าหนี้ที่ตัวเองใช้ ใช้ไม่ไหว เลยต้องให้ผมช่วยเคลียร์ต่อ ซึ่งท่านบอกว่าถ้าเคลียร์เจ้านี้ได้ก็จะเบาลงผมเลยรับมาเคลียร์ให้

เจ้าที่ 2 โผล่มา 80,000 ไม่มีดอก ผมก็เคลียร์กับเจ้าหนี้เหมือนเดิม ช่วยรับภาระหนี้นี้ต่อเดือน เดือนละ 4000 ช่วยใช้จน20เดือนจนครบ
ซึ่งตอนนั้น แม่ผมก็บอกว่าไม่มีหนี้อะไรแล้ว เพราะฝั่งเขา เขาก็เคลียร์ได้หมดแล้ว (เพิ่มเติมแม่ผมก็ทำอาชีพค้าขายกับป้า พอจะมีรายได้ค่าแรงจากป้า จึงมีกำลังช่วยตัวเองด้วย) ซึ่งตอนนั้นแม่ผมบอกเองว่าเรื่องหนี้ ผมไม่ต้องช่วยแล้วเพราะทางแม่เคลียร์ได้หมด ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว ผมก็เลยวางแผนซื้อรถ ซึ่งตอนนั้นผมมีเงินเก็บจำนวนหนึ่งในระยะเวลา 3ปี เพราะด้วยหน้าที่การงานที่โตขึ้น และด้วยความจำเป็นของงานที่ผมทำกับความสะดวกที่ผมมองว่าซื้อแล้วได้ใช้จริงๆ และกำลังที่มีตอนนั้นผมมองว่าผมสามารถผ่อนได้ ซึ่งมันก็เป็นความฝันที่ผมอยากซื้อรถเป็นรถคันแรกของครอบครัวผมเลยก็ว่าได้ ผมเลยตัดสินใจซื้อรถคันแรกดาวน์ไปประมาณ 200K นับจากวันที่ออกรถจนถึงวันนี้ก็ผ่านมา 2ปี ผ่อนต่อเดือนประมาณ 10,000 บาท   ซึ่งก่อนซื้อผมก็ถามดีแล้วว่าทางแม่ไม่ได้มีภาระอะไรแล้วที่จะต้องให้ผมรับผิดชอบ  ซึ่งตอนนั้นก็พอมีเงินเก็บเหลือเป็นเงินฉุกเฉินประมาณเพียงพอที่จะใช้ชีวิตประมาณ6เดือนถ้าตกงาน

แต่จำได้เลยว่าตั้งแต่วันที่ผมออกรถพอผ่านมาได้ 1 ปี ผมรู้สึกว่าหลังๆ แม่ผมขอเงินผมถี่ขึ้น ทำให้การเงินผมพัง เริ่มไม่มีเงินเก็บ  บ้างก็ขอยืม เบิกเงินเดือนล่วงหน้า จนผมถามไปถามมา สรุปคือยังมีหนี้อยู่ที่ต้องใช้อยู่เพราะแม่หมุนเงินไม่ทัน ขายของขาดทุนเลยต้องหากู้ แต่แล้วบอกกับผมว่าหลังจากก้อนนี้ ไม่มีอีกแล้ว แล้วก็ไม่ต้องช่วยแม่แล้ว ท่านยืนกรานว่าไม่มีแล้วจริงๆ และไม่ต้องช่วยแล้ว

แต่แล้วผมก็มีหนี้มาเพิ่ม 3 เจ้าที่ต้องรับผิดชอบ เจ้าที่ 3 = 15K เจ้าที่ 4 = 40K และเจ้าที่ 5= 100K ซึ่งเจ้าที่ 3,4 ไม่คิดดอก ไม่ค่อยเท่าไร แต่ที่ช็อคคือเจ้าที่ 5 คิดดอกร้อยละ15% ต่อเดือน ไม่มีกำหนดจนกว่าจะหาเงินมาใช้ต้นได้ (ผมแทบไม่อยากจะเชื่อว่าแม่ไปยืมมาได้ไง) ซึ่งสุดท้ายผมต้องไปไกล่เกลี่ย จนให้เขาหยุดคิดดอก แล้วผมจะใช้แค่ต้นอย่างเดียว ซึ่งผมก็ตกลงได้ว่าจะช่วยผ่อนเดือนละ 5000 ส่วนเจ้าที่ 3,4 ผมยอมที่จะเอาเงินเก็บฉุกเฉินมาช่วยใช้หนี้ ณ ตอนนั้นเลยให้จบๆ แล้วรับภาระแค่นี้เจ้าที่ 5 โดยการผ่อน จากวันนั้นถึงปัจจุบัน ผมเหลือประมาณอีก 4-5เดือน หนี้ก้อนนี้จะหมด แต่ต้องยอมรับเลยว่าตั้งแต่ผมซื้อรถมา เงินเก็บผมพอมีบ้างเล็กน้อยต่อเดือน บางเดือนไม่มีเก็บ เพราะค่าใช้จ่าย ค่าครองชีพที่ผมใช้ชีวิตกรุงเทพ บวกแม่ผมขอเงินเดือนเพิ่มเกินจากlimit ที่ผมวางแผนไป จนเงินเดือนต่อเดือนไม่พอใช้จนต้องดึงเงินฉุกเฉินมาใช้ จนตลอด 2 ปีที่ผ่านมา จนทำให้เงินเก็บผมที่ตอนแรกเป็นเงินฉุกเฉิน ตอนนี้แทบไม่เหลือเลย ผมจึงคิดว่าถ้าหนี้ก้อนนี้หมดผมจะเริ่มโฟกัสกับการเก็บเงินได้มากขึ้น และตั้งใจจะปรับแผนการใช้เงินใหม่อีกครั้ง

แต่สุดท้ายเงินผมต้องมาพังอีกครั้ง และเละที่สุดคือกลางปีที่แล้ว รอบนี้เพราะแม่ขอเงินผมแบบเดิม ขอเพิ่ม แต่รอบนี้ขอถี่มากๆจนถึงlimit ที่ผมให้ไม่ไหว ผมก็พยายามบอกท่านแล้วว่าผมมีภาระค่อนข้างเยอะทั้งรถ ทั้งประกัน ทั้งค่า maintenance ที่ผมเจอชนกัน จนทำให้ผมถังแตก ซึ่งผมก็บอกแกไปว่าผมให้เงินเดือนได้แค่เท่านี้จริงๆ ขอเพิ่มไม่ได้แล้วนะ  แต่พอพูดจบ ผ่านไปไม่ถึงอาทิตย์ ขอผมเพิ่มอีกแล้ววว ขอแบบนี้มาเรื่อยๆทุกอาทิตย์ ที่ผ่านมาผมก็ถามเอาเงินไปทำอะไร แม่ก็จะบอกว่าเอามาเป็นทุนทำของเพราะช่วงนี้ขาดทุน ผมก็บอกว่าให้หยุดขายท่านก็ไม่ฟังแล้วก็ไม่บอกว่าเป็นหนี้จนวินาทีสุดท้าย จนผมจี้ถามไปถามมาจนมารู้ทีหลังว่าแม่ผมติดหนี้หมวกกันน็อค 6 เจ้า ที่คิดดอกทั้งหมด ดอกร้อยละ10ต่อเดือน จนกว่าจะหาเงินต้นมาคืนครบ แต่ละเจ้าเงินต้นเท่าไร แต่รวมๆทั้งต้นทั้งดอกในเวลานั้นคือ 60,000 นิดๆ (แม่ผมต้องหาเงินมาจ่ายแต่ละวันคือวันละ2พันกว่าๆ) วันนั้นผมยอมรับว่าผมโกรธท่านมากๆ เพราะท่านมีอะไรไม่เคยบอกผมตรงๆ จะมาบอกก็ตอนที่มีปัญหาตลอด แต่ก็รู้ว่าตอนนั้นท่านก็เครียดมากจริงๆไม่ออกจากบ้านมาเกือบ2อาทิตย์ โดนตามทวงหนี้ทุกวัน จนพี่สะใภ้โทรมาบอกปัญหาเรื่องนี้  ตอนนั้นผมคิดได้แค่ว่า ผมต้องรีบเคลียร์6เจ้านี้ให้ได้เร็วที่สุดไม่งั้นลำบากแน่ๆ  ซึ่งตอนนั้นเงินฉุกเฉินผมไม่มีเหลือเลย มีที่พึ่งสุดท้ายคือเงินกองทุน ที่ผมมีเกือบ 200,000 ผมต้องตัดสินใจ ถอนกองทุนนั้นออกมาแต่ต้องรออีก3อาทิตย์ (อีก5เดือนผมก็จะครบ 5ปีได้เงินสมทบบริษัท50%ซึ่งจริงๆผมตั้งใจที่จะไม่ถอนออกมาเลย) ผมจึงตัดสินใจยืมเพื่อนและแฟน รวมๆ 60,000  ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ผมยืม ทั้งๆที่ไม่อยากทำ การที่ผมยอมตัดใจถอนกองทุนเพื่อที่จะเอาเงินรีบมาใช้หนี้เพื่อน ผมไม่อยากให้รอนาน แล้วอยากจะเริ่ม reset ตัวเองใหม่อีกครั้ง

ผมยอมรับว่าตั้งแต่ผมซื้อรถ เงินเก็บผมมีแต่ลดลงๆ เพราะเงินเดือนต่อเดือนแบบไม่พอใช้จนผมต้องดึงเงินเก็บมาใช้ตลอด จนท้ายที่สุดเงินเก็บหมด เหลือแต่เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นที่พึ่ง  ผมคุยกับแม่ผมจริงๆจังๆว่าการใช้หนี้ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย (จริงๆผมบอกท่านครั้งสุดท้ายมาหลายครั้งละครับ) อยากให้ท่านบอกมาให้หมดว่าท่านมีหนี้อะไรบ้างเพราะก่อนหน้านี้ท่านชอบบอกว่าไม่มีๆ สุดท้ายก็มีโผล่มาตลอด  แต่ครั้งนี้ก็บอกมาแบบไม่มีกั๊ก แต่ไม่รุ้ว่าหมดจริงๆไหม ซึ่งรวมๆแล้วยังมีหนี้รวมกันอีก 400K รวมๆแล้วหนี้เกือบๆล้าน ผมเริ่มรู้สึกท้อ เพราะเหมือนใช้ไม่จบไม่สิ้น

ตอนช่วงที่มีหนี้นอกระบบช่วงนั้น ผมพาแม่ผมมาอยู่กับผมด้วยที่พักในจังหวัดที่ผมทำงาน ยอมรับตรงๆว่าพาท่านหนีหนี้มาอยู่กับผมก่อน เพราะถ้าขืนท่านอยู่ที่บ้าน เจ้าหนี้คงมีแต่ตามมาทวง และท่านก็คงต้องกู้หนี้นอกระบบมาหมุนใช้หนี้ คงไม่หลุดพ้นวัฏจักรแน่ๆ และการที่ให้ท่านขายของอยู่ที่เดิมก็กลัวว่าจะขาดทุนและก็อยู่ไม่สุขเพราะโดนตามทวงหนี้... ผมเอาท่านมาอยู่ได้ประมาณ1เดือน แม่ผมก็กลับไปบ้านหลังจากที่ผมช่วยใช้หนี้นอกระบบเรียบร้อย.. ผมก็มองว่าดีอย่างน้อยท่านจะได้ไม่เหงามีหลานมีพี่น้อง และแม่ผมก็สามารถขายของเอาเงินมาช่วยใช้หนี้ได้ และตั้งแต่นั้นมาระหว่างทางนี้ผมก็ตั้งใจทะยอยใช้หนี้แต่ละเจ้ามาเรื่อยๆ พร้อมกับแม่ โดยรอบนี้ผมให้ป้าช่วยจัดสรรค่าแรงที่แม่ได้นำบางส่วนมาจ่ายหนี้ด้วยซึ่งทางแม่ก็เห็นด้วย และผมเองก็ให้เงินเดือนแม่ต่างหากไว้ให้แม่ไว้กินไว้ใช้.และไม่ให้แม่ยุ่งกับการใช้หนี้ด้วยตัวเองอีก และย้ำกับแม่ว่าถ้ามีปัญหาอะไรโดยเฉพาะเรื่องเงินให้ปรึกษากับผมก่อน..และย้ำว่าห้ามไปกู้อีกถ้ากู้จะไม่สนใจหนี้ก่อนที่เพิ่ม...


หลังจากนั้นมา1ปี..จนถึงปัจจุบัน

อาการเดิมเรื่องขอเงินถี่ขึ้นกลับมาอีกแล้วจนผมจับได้รอบนี้มีหนี้นอกระบบเพิ่มมาอีก50,000กว่าๆ แม่วิ่งเต้นแล้วหายืมเงินมาหมุนจ่ายดอกเหมือนรอบที่แล้ว.. รอบนี้ผมท้อมากๆ

ผมตัดสินใจที่ไม่ช่วยใช้หนี้ก้อนนี้แล้วพาแม่มาหนีมาอยู่ด้วยในจังหวัดที่ผมทำงานด้วยและตั้งใจว่าจะพามาอยู่ถาวร..

เพราะถึงยังไงผมคงปล่อยหรือทิ้งแม่ให้เผชิญปัญหาคนเดียวไม่ได้...


ตอนนี้ผมรู้สึกเหนื่อยและท้อมากๆเอาเข้าจริงๆ ตอนนี้ผมเริ่มชินชากับสถานการณ์พวกนี้จนไม่อยากรับรู้สนใจอะไรแล้ว

หลังจากนี้ผมคงโฟกัสใช้หนี้เฉพาะก้อนที่รู้ทั้งหมดของปีที่แล้วแค่นั้นที่ผมตั้งใจจะเคลียร์ให้หมด..ส่วนนี้ก้อนใหม่ผมคงพอและก็ปล่อยมันไปถือว่าคำพูดที่คุยกันไว้ปีที่แล้วคือคำขาดว่าจะไม่ช่วย.. 6ปีที่ผ่านมาเหมือนผมจมอยู่กับเรื่องเดิมๆ มองไม่เห็นอนาคตตัวเองเลยครับ...ผมไม่รู้ว่าการตัดสินใจครั้งนี้ถูกไหม...

แต่หวังว่าการตัดสินใจครั้งนี้มันจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น...


ขอบคุณสำหรับพื้นที่ระบายนะครับและขอบคุณทุกความคิดเห็นครับ..
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 1
6 ปีนานเกินพอแล้วครับ ไม่ควรโกหกใครมาตลอด
เพราะจะเหมือนดินพอกหางหมู

ทำสิ่งที่เราทำไหว ได้เท่าไร เอาเท่านั้น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่