ทำไมสวีเดน จึงเป็นประเทศแห่งผู้ประกอบการระดับโลก ?





หากมีการจัดอันดับประเทศในโลก ไม่ว่าจะเป็น ประเทศที่เหมาะแก่การทำธุรกิจมากที่สุด หรือประเทศที่มีนวัตกรรมโดดเด่นที่สุด จะต้องมีชื่อ "สวีเดน" ติดอันดับ Top 5 แทบทุกครั้ง 
 
สวีเดนตั้งอยู่ทางตอนเหนือของทวีปยุโรป มีทิวทัศน์อันสวยงามและเต็มไปด้วยทะเลสาบ มีขนาดพื้นที่ใกล้เคียงกับประเทศไทย แต่มีประชากรเพียง 10 ล้านคน ถึงแม้จะมีประชากรน้อย แต่ชาวสวีเดนกลับสร้างสรรค์แบรนด์ระดับโลกประดับไว้แทบทุกวงการ 
 
เฟอร์นิเจอร์มีแบรนด์ IKEA 
เสื้อผ้ามีแบรนด์ H&M 
รถยนต์มี Volvo 
ส่วนเทคโนโลยีมี Spotify 
 
อะไรที่ทำให้ประเทศที่มีประชากรเพียง 10 ล้านคน ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ประกอบการก่อตั้งบริษัทใหญ่ที่ขายสินค้าให้คนทั้งโลก
 
สวีเดนเป็นหนึ่งในกลุ่มประเทศที่เรียกว่า สแกนดิเนเวีย ร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างเดนมาร์ก และนอร์เวย์ ผู้คนในประเทศเหล่านี้ เป็นลูกหลานของบรรพบุรุษชาวไวกิง ที่มีฝีมือขึ้นชื่อในเรื่องของการสู้รบและการเดินเรือ
 
ด้วยการทำอาวุธและการต่อเรือนี่เอง ที่ทำให้ทักษะงานช่าง และความเป็นนักประดิษฐ์ แฝงอยู่ในสายเลือดของชาวสวีเดนมาตั้งแต่ยุคโบราณ
สวีเดนเป็นประเทศที่มีประชากรน้อย สินค้าและบริการที่ถูกประดิษฐ์คิดค้นขึ้นมา จึงจําเป็นที่จะต้องมีตลาดต่างประเทศเป็นฐานรองรับ “การขายสินค้าให้คนทั้งโลก” จึงเป็นความตั้งใจหลักของผู้ประกอบการชาวสวีเดน
 
แต่การที่จะมี Vision ในการขายสินค้าให้คนทั้งโลกไม่ใช่เรื่องง่าย ชาวสวีเดนจำเป็นต้องมี Action ซึ่งเกิดจากองค์ประกอบหลายประการร่วมกัน
 
ประการแรก คือ “องค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์”
รู้หรือไม่ว่า สิ่งรอบตัวที่เราพบเห็นในปัจจุบัน ล้วนมีต้นกำเนิดมาจากการประดิษฐ์คิดค้นของนักวิทยาศาสตร์ชาวสวีเดน ไม่ว่าจะเป็น อุณหภูมิ องศาเซลเซียส, ชื่อวิทยาศาสตร์ของสิ่งมีชีวิต และระเบิดไดนาไมต์
 
ความรุ่งเรืองทางวิทยาการมีจุดเริ่มต้นย้อนไปในศตวรรษที่ 15 เมื่อมีการตั้งมหาวิทยาลัยแห่งแรกในแถบสแกนดิเนเวีย คือ มหาวิทยาลัยอุปซอลา (Uppsala Universitet) ในเมืองอุปซอลา ทางตอนเหนือของกรุงสตอกโฮล์ม เมื่อสวีเดนประกาศใช้รัฐธรรมนูญที่จำกัดอำนาจของราชวงศ์ในปี ค.ศ. 1719กลายเป็นรากฐานของประชาธิปไตยและเสรีภาพ นำมาสู่ความเบ่งบานทางวิชาการและการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ โดยมีมหาวิทยาลัยอุปซอลาเป็นกำลังสำคัญ ที่ผลิตบุคลากรป้อนเข้าสู่แวดวงวิชาการ
 
ทั้ง Anders Celsius ผู้พัฒนาระบบการแบ่งช่องในเทอร์โมมิเตอร์สำหรับวัดอุณหภูมิ ซึ่งต่อมาถูกเรียกว่า “องศาเซลเซียส” ตามชื่อของเขา Carl Linnaeus นักพฤกษศาสตร์ผู้ริเริ่มการจัดแบ่งสิ่งมีชีวิตออกเป็นหมวดหมู่นำมาสู่การตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ ที่เป็นประโยชน์อย่างมากในการศึกษาชีววิทยา
 
Linnaeus ยังเป็นผู้ก่อตั้งสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งสวีเดน ในปี ค.ศ. 1739 ซึ่งกลายเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีในยุคต่อมา
 
โดยเฉพาะการก่อตั้ง KTH Royal Institute of Technology ที่กรุงสตอกโฮล์มในปี ค.ศ. 1824 ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเฉพาะทางด้านวิศวกรรมและเทคโนโลยีที่ผลิตนักประดิษฐ์มากมาย หนึ่งในนั้นคือพ่อของนักประดิษฐ์ชาวสวีเดนผู้ยิ่งใหญ่ Alfred Nobel
 
Alfred Nobel ได้รับความรู้ด้านการประดิษฐ์คิดค้นมาจากผู้เป็นพ่อ ต่อมาเมื่อย้ายไปอยู่รัสเซียได้ศึกษาด้านเคมีจนสร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์มากมาย โดยเฉพาะ“ระเบิดไดนาไมต์” ที่ช่วยปฏิวัติการทำเหมืองแร่ Nobel เป็นผู้นำสิ่งประดิษฐ์มาแปรเป็นสินค้าอุตสาหกรรมที่ทำรายได้มหาศาล
 
ในช่วงบั้นปลายชีวิตเขาได้ตัดสินใจก่อตั้งรางวัลโนเบล รางวัลที่เป็นเกียรติยศสูงสุดที่มนุษย์คนหนึ่งจะได้รับจากความสำเร็จของการศึกษาวิจัยค้นคว้า ถึงแม้จะมีวิทยาการที่ก้าวหน้า แต่ปัญหาการเมืองและความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้านก็ทำให้สวีเดนเข้าสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรมช้ากว่าประเทศอื่น ๆ ในยุโรปหลายสิบปี
 
แต่ข้อได้เปรียบของสวีเดนคือการมีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะป่าไม้ และแร่เหล็ก สิ่งเหล่านี้เป็นที่ต้องการอย่างมากของประเทศที่กำลังรุ่งโรจน์ในการปฏิวัติอุตสาหกรรมอย่างเยอรมนีและฝรั่งเศส สวีเดนจึงดึงดูดการลงทุนจากนักธุรกิจของประเทศเหล่านี้
 
ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 จึงเริ่มมีโรงงานอุตสาหกรรมตั้งอยู่รอบ ๆ กรุงสตอกโฮล์มและเขตเมืองใหญ่ในขณะที่ภาคเกษตรกรรมก็ปรับเปลี่ยนเพื่อตอบสนองต่อการค้าขายกับต่างประเทศมากยิ่งขึ้น โดยเปลี่ยนจากระบบหมู่บ้านที่เกษตรกรจะอาศัยทํากินในที่ดินร่วมกันกลายเป็นต่างคนต่างเพาะปลูกเพื่อเพิ่มผลผลิต
 
แต่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วครั้งนี้ ก็ทําให้ครัวเรือนเกษตรกรจํานวนมากปรับตัวไม่ทัน ในขณะที่ช่วงเวลาไล่เลี่ยกันที่อีกซีกโลกหนึ่ง ประเทศน้องใหม่อย่างสหรัฐอเมริกา กําลังขยายประเทศ มีกฎหมายที่สนับสนุนให้มีการขายที่ดินในราคาถูกจนเหมือนให้เปล่าแก่ผู้ที่กล้าเดินทางไปตั้งถิ่นฐานยังแถบตะวันตก
 
สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้นคือ ครัวเรือนเกษตรกรเกือบ 1 ล้านคน ตัดสินใจอพยพ ไปตั้งถิ่นฐานยังสหรัฐอเมริกา ซึ่งคิดเป็นเกือบ 1 ใน 4 ของประชากรสวีเดนใน ช่วงปลายศตวรรษที่ 19
และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างในครั้งนั้นเอง ได้นํามาสู่ปัจจัยสําคัญต่อการสร้างแบรนด์ของสวีเดน นั่นก็คือ...
 
ระการที่ 2 “ความเท่าเทียม”
การอพยพออกจากประเทศครั้งใหญ่ของชาวสวีเดนทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลง 2 ประการ
 
ประการแรก ทำให้ประชากรวัยแรงงานลดลงอย่างมาก เมื่อสวีเดนปฏิวัติ อุตสาหกรรมและมีโรงงานที่ต้องการแรงงานเพิ่มมากขึ้น ผลที่ได้คือ แรงงาน ที่เหลืออยู่ได้รับค่าแรงที่เพิ่มสูงขึ้น
 
ประการต่อมา เมื่อรัฐสภาได้สํารวจสาเหตุของการอพยพอย่างจริงจัง เผยให้ เห็นปัญหาที่ซุกซ่อนอยู่มานาน นั่นก็คือ ความยากจน และความไม่เท่าเทียมในสังคม
 
เมื่อปัญหาสังคมถูกเปิดเผย ประกอบกับผู้คนที่มีรายได้มากขึ้น จึงเริ่มมี การเรียกร้องสิทธิต่าง ๆ ท้ายที่สุดก็นํามาสู่การเปลี่ยนแปลงทางสังคมครั้งสำคัญ ที่สุดของสวีเดน นั่นคือ “ก่อกำเนิดรัฐสวัสดิการสหภาพแรงงานถูกจัดตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1898 เพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ของผู้ใช้ แรงงานในโรงงานอุตสาหกรรม
 
รัฐบาลที่มาจากพรรคสังคมประชาธิปไตยได้ให้การช่วยเหลือแรงงานในการเจรจาข้อตกลงกับเหล่านายทุน จนกลายเป็นแรงผลักดันที่ทำให้เหล่าแรงงาน มีสวัสดิการการทำงานที่ดีมากขึ้น ทั้งการได้รับเงินสมทบ การลาพักร้อน และการประกันอุบัติเหตุระหว่างทำงานในขณะที่สังคมทั่วไปก็มีระบบบํานาญสำหรับผู้สูงอายุ เงินช่วยเหลือสำหรับคนยากจนและคนพิการ เงินอุดหนุนเด็กและการศึกษา
 
จากจุดเริ่มต้น ระบบสวัสดิการของสวีเดน หรือ “Swedish Model” ถูกพัฒนา ต่อมาเรื่อย ๆ จนได้รับการยอมรับว่าดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก สร้างความรู้สึก มั่นคงให้กับชาวสวีเดนตั้งแต่ลืมตาดูโลกจนถึงลมหายใจสุดท้าย
 
สิ่งนี้กลายเป็นส่วนผลักดันให้การทำงานมีประสิทธิภาพ เมื่อรวมกับการที่สวีเดน ดำรงความเป็นกลางในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ผลที่ได้คือ เศรษฐกิจของสวีเดน เริ่มเติบโตอย่างโดดเด่นในช่วงหลังสงครามโลก
 
ความเท่าเทียมกลายเป็นส่วนประกอบสำคัญของสังคมสวีเดนการมองว่าทุกคนมีความเสมอภาคที่จะได้รับคุณภาพชีวิตที่ดี ถูกถ่ายทอด มาสู่การสร้างสินค้า และกลายเป็นหัวใจสำคัญที่สุดของแบรนด์สวีเดน..
 
Volvo รถยนต์ที่พลิกหน้าประวัติศาสตร์อุตสาหกรรมยานยนต์ด้วยแนวคิดเรื่อง “ความปลอดภัย” นําไปสู่การคิดค้นเข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุด ที่คาดทั้งช่วงเอว และช่วงลําตัว ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของทุกคนที่นั่งอยู่บนรถ
 
IKEA แบรนด์เฟอร์นิเจอร์และสินค้าตกแต่งบ้านที่มีความหลากหลาย ดีไซน์ สวยงาม พร้อมทั้งประโยชน์ใช้สอยคุ้มค่า ในราคาที่ผู้คนทั่วไปเป็นเจ้าของได้
 
H&M ร้านเสื้อผ้าแฟชั่นที่ดูดี แต่ก็ยังคงไว้ด้วยราคาที่ทำให้คนทั่วไปสามารถหาซื้อได้ง่ายในราคาสบายกระเป๋า
 
สินค้าสวีเดนไม่ใช่สินค้าหรูหราราคาแพง แต่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้ทุกคนเข้าถึง ได้อย่างเท่าเทียม และด้วยความเข้าถึงได้นี่เอง จึงทําให้แบรนด์สวีเดนค่อยๆก้าวขึ้นมาตีตลาดโลกจนเป็นผลสำเร็จ ทศวรรษ 1970s-1990s เมื่อแบรนด์เหล่านี้ออกสู่ตลาดโลก เศรษฐกิจของสวีเดนจึงเติบโตอย่างก้าวกระโดด
 
แต่สวัสดิการสังคมที่ดีก็นํามาสู่ปัญหาค่าใช้จ่ายของภาครัฐ อีกทั้งการเติบโตด้านอุตสาหกรรมของประเทศในเอเชีย ทําให้บริษัทสวีเดนเริ่มประสบปัญหาในการแข่งขัน แบรนด์สวีเดนจะอยู่อย่างยั่งยืนไม่ได้ โดยปราศจากปัจจัยสุดท้าย ซึ่งก็คือ..
 
ประการที่ 3 การวางแผนจากรัฐบาล
 
เมื่ออุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์ของประเทศในแถบเอเชียเติบโต อย่างรวดเร็ว ทําให้บริษัทสวีเดนเริ่มสูญเสียศักยภาพในการแข่งขัน เมื่อรวมกับปัญหาค่าใช้จ่ายของภาครัฐ ทําให้รัฐบาลสวีเดนต้องเปลี่ยนโครงสร้าง ทางเศรษฐกิจครั้งสําคัญ องค์กรรัฐวิสาหกิจหลายแห่งถูกปฏิรูป เพื่อลดภาระ ค่าใช้จ่ายของรัฐบาล ทั้งลดจํานวนคน และเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้ามาแข่งขันอุตสาหกรรมหลายด้าน โดยเฉพาะเหล็กและยานยนต์ ถูกปรับให้มีความเฉพาะ ทางมากขึ้น และจําเป็นที่จะต้องบุกเบิกอุตสาหกรรมใหม่ ๆ นั่นคือ “อุตสาหกรรมเทคโนโลยี”
 
ปี ค.ศ. 1991 กระทรวงอุตสาหกรรมของสวีเดน ได้เปลี่ยนชื่อเป็น กร ผู้ประกอบการ และนวัตกรรม (Ministry of Enterprise and Innovation) ที่ให้ความสําคัญในการวางนโยบายให้ภาคอุตสาหกรรมสามารถนําเทคโนโลยี มาพัฒนาเพื่อสร้างนวัตกรรมที่จะนํามาสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี การให้บริการอินเทอร์เน็ต ความเร็วสูง การสนับสนุนงบประมาณคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล การพัฒนาหลักสูตรด้านเทคโนโลยีตั้งแต่ในโรงเรียน รวมถึงสนับสนุนงบประมาณร่วมกับมหาวิทยาลัยและบริษัทเอกชนในการวิจัยและพัฒนา
 
การลดภาษีนิติบุคคล จากอัตราสูงถึง 52% ในปี ค.ศ. 1990 เหลือประมาณ 22% และลดภาษีสําหรับบริษัทที่ก่อตั้งมาไม่เกิน 10 ปี มีพนักงานไม่เกิน 50 คน และมีรายได้ไม่เกิน 80 ล้านโครนาสวีเดน หรือประมาณ 290 ล้านบาท ต่อปี เพื่อให้ธุรกิจขนาดเล็กที่มีความสามารถ โดยเฉพาะบริษัทสตาร์ทอัป สามารถเข้ามาแข่งขันกับบริษัทขนาดใหญ่ได้
จากการทุ่มเทเป็นเวลามากกว่า 10 ปี สวีเดนก็ให้กําเนิดบริษัทใหม่ ๆ ด้าน เทคโนโลยีและบริการ หนึ่งในนั้นคือ“Spotify” บริษัทที่ก่อตั้งในปี ค.ศ. 2006 ทําธุรกิจให้บริการแพลตฟอร์มฟังเพลงออนไลน์ที่นําเอาเทคโนโลยี AI มาวิเคราะห์ประวัติการฟังเพลงในอดีต เพื่อแนะนํา Playlist ที่น่าจะเหมาะกับความชอบส่วนตัวของแต่ละคน ที่นักฟังทั่วโลกคุ้นเคยและต่อยอดมาสู่การเป็นแพลตฟอร์ม Podcast
 
ปัจจุบัน สวีเดนเป็นประเทศที่ใช้งบวิจัยและพัฒนาสูงมาก คิดเป็นสัดส่วนถึง 3.37% ของ GDP และจัดอยู่ในระดับ Top 5 ของโลกที่ใช้งบวิจัยและพัฒนา ต่อ GDP สูงสุด ซึ่งนอกจากงานวิจัยด้านเทคโนโลยีแล้ว สวีเดนยังเน้นหนักไปในการวิจัยด้านเทคโนโลยีชีวภาพ จนสามารถสร้างบริษัทระดับโลกด้านการแพทย์ เช่น
 
AstraZeneca บริษัทยาสัญชาติสวีเดน-อังกฤษ ที่เป็นหนึ่งใน ผู้พัฒนาวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19
 
BioGaia บริษัทที่เป็นผู้นําในด้านการพัฒนาจุลินทรีย์โพรไบโอติก
 
สวีเดนยังมีกฎหมายที่อนุญาตให้พนักงานบริษัทสามารถลางานได้ถึง 6 เดือนแล้วออกไปเริ่มต้นทําธุรกิจของตนเอง เพื่อต้องการกระตุ้นให้ประชาชนมีวิธีคิด แบบผู้ประกอบการ และริเริ่มสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ สู่สังคม
 
มาถึงตรงนี้ การที่แบรนด์สวีเดนเติบโตจนเป็นแบรนด์ระดับโลก ไม่ได้เกิดจาก Vision หรือเป้าหมายของผู้ประกอบการที่จะขายคนทั้งโลกเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมี Action คือ การพัฒนาองค์ประกอบหลาย ๆ ด้านไปพร้อมกัน
 
ทั้งองค์ความรู้ ที่ต่อยอดจากวิทยาศาสตร์พื้นฐาน มาสู่นวัตกรรมขั้นสูง ความเท่าเทียมของผู้คน ที่ส่งผลให้แบรนด์สวีเดนสามารถตอบโจทย์ ความต้องการของคนส่วนใหญ่และนโยบายจากภาครัฐ ที่สนับสนุนการวิจัยและพัฒนา เอื้อต่อการลงทุน และเปิดโอกาสให้ภาคธุรกิจได้พัฒนาต่อยอดไปสู่ผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ
 
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่