(รีวิว+วิเคราะห์) Takopi Original Sin / กำเนิดบาปทาโกปี้ :อนิเมะ “ย้อนเวลา” 6 ตอนที่วางหมากโคตรดีและมีข้อคิดให้คุณ


*บทความนี้ถูกเขียนโดยมือสมัครเล่นที่สนใจศาสตร์ Storytelling ในเชิงงานเขียน โดยจะแบ่งเนื้อหาเป็นสองส่วน ส่วนแรกจะเป็นรีวิวสำหรับผู้ชมทั่วไป ส่วนที่สองวิเคราะห์เทคนิคการเขียนของเรื่อง (ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองวิเคราะห์ถูกไหม ถ้าจุดไหนเพื่อนๆ พี่ๆ เห็นต่างทักท้วงกันได้ครับ)

เป็นอีกเรื่องที่จบได้เซอร์ไพรซ์เกินคาด แถมยังเป็นเรื่องที่ตอนแรกผมไม่นึกจะดูด้วย เพราะเห็นกระแสบอกว่ามันดาร์ค กลัวจะดูแล้วเดี๋ยวจะจิตตก555
แต่พอลองไปดูจริง ปรากฎว่า ‘เอ้ย ผิดคาดแฮะ มันไม่ใช่เรื่องแนวเน้นขายปวดตับแบบยิ่งดูยิ่งดิ่งแบบที่ผมเข้าใจไปเองนี่หน่า คนเขียนเค้าวางโครงเรื่องดีจัง เค้าออกแบบสถานการณ์ในเรื่องมาดีจัง เรารู้สึกได้ว่าสถานการณ์ในเรื่องคนเขียนเค้าออกแบบมาดีแล้วถึงใส่ลงมาในจังหวะนี้ ’

ยิ่งดูต่อไปเรื่อยๆ ก็เริ่มอยากรู้ว่าเรื่องมันจะไปลงเอยยังไง สถาการณ์ในเรื่องจะดีขึ้นหรือแย่ลงได้ยังไง แล้วคนเขียนตั้งใจจะบอกแมสเสจอะไรกับคนดู ซึ่งพอดูไปจนถึงตอนจบ ผมนี่แบบ โห… โคตรดี ถ้าเป็นในโรงหนังคงลุกขึ้นปรบมือเลยครับ ผมว่าผมไม่เคยเห็นอนิเมะเรื่องไหนวางหมากการเล่าเรื่องได้ดีขนาดนี้มาก่อนในเวลาการเล่าแค่ 6 ตอน แถมหมากทุกตัวยังส่งไปหาบทสรุปของเรื่องในตอนจบที่มาพร้อมกับแมสเสจเชิง Positive ถึงผู้ชม เผลอๆ นี่อาจจะเป็น Anime of the year สำหรับผมในปีนี้เลยล่ะครับ

อ่านมาถึงจุดนี้ บางคนน่าจะหาว่าผมอวยเกินเหตุรึเปล่า5555 งั้นเรามาดูกันดีกว่าครับว่าเรื่องนี้มันดียังไง


ข้อมูลเบื้องต้น 
ชื่อเรื่อง : Takopi’s Original Sin
จำนวนตอน : 6 ตอน 
ผู้เขียน : Taizan 5 (มังงะต้นฉบับ) Shinya Iino , Ko Nekota (อนิเมะ)
แนว : ไซไฟ , สะท้อนสังคม (อันที่จริง ผมว่าออกแนว “สำรวจ” รากของปัญหาสังคมเพื่อทำความเข้าใจและเรียนรู้ที่จะรับมือกับมันมากว่า ไม่ใช่แค่ “สะท้อน” แบบเอาด้านไม่ดีของสักคมมาเล่าให้เราเห็นเฉยๆ) 

เรื่องย่อ :
ในปี 2016 “ทาโกปี้” มนุษย์ต่างดาวรูปร่างคล้ายหมึกสีชมพูจากดาวแห่งความสุข ได้ตกลงมายังโลกเพื่อแบ่งปันความสุขให้กับมนุษย์ หลังจากหลบหนีการจับกุมได้ เขาก็บังเอิญพบกับ ชิซูกะ คูเซะ เด็กหญิงวัย 9 ขวบที่ถูกกลั่นแกล้งในโรงเรียน ทาโกปี้ตัดสินใจใช้ “อุปกรณ์แฮปปี้” (นึกภาพพวกของวิเศษต่างๆ จากเรื่องโดราเอม่อน เป็นไอเทมที่แต่ละชิ้นจะมีฟังก์ชันเฉพาะตัว ลักษณะเหมือนของเล่นแต่ค่อนข้างล้ำสมัย) เพื่อช่วยให้ชิซูกะมีความสุข จนกระทั่งครั้งหนึ่งที่การมอบของวิเศษให้เด็กหญิงนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ทาโกปี้ไม่คาดคิด การย้อนเวลาเพื่อทำความเข้าใจรากเหตุของปัญหาและแก้ไขให้เด็กหญิงมีความสุขจึงเริ่มต้นขึ้น


เห็นพล็อตแนวนี้ อาจจะคิดว่าเรื่องนี้เหมือนโดเรม่อนเวอร์ชันตัวเอกเป็นเด็กหญิงมืดมนใช่ไหมละครับ (แถมชื่อชิซูกะด้วย555) แต่พอดูไปเรื่อยๆ ผมว่าเรื่องนี้มีเอกลักษณะเฉพาะตัวที่ต่างจากโดเรมอนเยอะพอควรครับ หากไม่นับเรื่องความรุนแรงในเรื่องที่มีมากกว่า ผมว่าการเขียนแบ็คกราวของเด็กๆ แต่ละคนในเรื่องกับเหตุการณ์ที่พวกเขาต้องเผชิญก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เราจะไม่ได้เห็นในโดเรมอนแน่ๆ เด็กแต่ละคนมีปมปัญหาของตัวเองและรากปมของบางคนก็พัวพันกัน

อีกจุดนึงที่ผมว่าเรื่องนี้แอบใจร้ายกับเด็กๆ กว่าโดเรมอนคือคาร์แรกเตอร์ของเจ้าตัวให้ของวิเศษอย่างน้องหมึก “ทาโกปี้” ครับ คือทาโกปี้เป็นเอเลี่ยนเด็กที่ขาดความเข้าใจโลก ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับมนุษย์โลกทั้งทางกายภาพ จิตใจ หรือสังคม ส่งผลให้การกระทำบางอย่างด้วยความหวังดีในการช่วยเหลือเด็กๆ ถูกทำไปโดยขาดวิจารณญาณและความเข้าใจ ทำให้บางครั้ง เหตุการณ์ก็ “เลยเถิด” จนเกินไป กลายเป็นเรื่องที่ใหญ่เกินกว่าที่เด็กคนหนึ่งจะแบกรับไหว เพราะความใสซื่อของเจ้าหมึกนี่แหละครับ

ถ้าถามว่าเรื่องนี้ดาร์คขนาดไหน ผมว่าก็พอสมควรครับ แต่ใช่ไม่ดาร์คแบบสักแต่ว่าคนเขียนจะใจร้ายกับตัวละครแบบไร้เหตุผล เราจะได้เห็นตัวละครผู้ใหญ่หลายคนที่ไม่ใช่ผู้ใหญ่ที่พึ่งพาได้ ซ้ำร้ายยังเป็นพิษต่อเด็กๆ ปัญหาชีวิตในเรื่องค่อนข้างสมจริงจนอาจจะรีเรทกับคนที่มีประสบการณ์วัยเด็กคล้ายๆ กัน (อิงจากที่อ่านในคอมเมนต์ของผู้ชมทั้งในไทยและต่างประเทศ) แต่ทุกความรุนแรง ทุกปัญหาครอบครัว ทุกความโหดร้าย ที่ถูกใส่มาในเรื่อง ไม่มีอันไหนเลยที่เรื่องใส่มาโดยไร้เหตุผลครับ มันมีจุดประสงค์ของมันคือเพื่อโยงไปหาแมสเสจในตอนสุดท้าย ผมว่าถ้าเราไม่ได้เห็นสิ่งที่เลยร้ายขนาดนั้น เราคงไม่รู้สึกว่าแมสเสจในตอนสุดท้ายเป็นสิ่งสวยงามและควรค่าแก่การส่งมอบต่อหรือเอาไปปฎิบัติจริงขนาดนี้หรอกครับ


จุดเด่นของอนิเมะ นอกจากแค่เนื้อเรื่อง ผมคิดว่าน่าจะมีประมาณนี้ครับ :

1.อนิเมะมีความยาวแค่ 6 ตอน แต่เล่าเรื่องปิดทุกปมปัญหาได้ภายในตอนจบ
ใช่ครับ มันเป็นมินิซีรีส์ความยาวแค่ 6 ตอน ตอนละ 20 กว่านาที (ยกเว้นตอนแรกที่ ยาว 37 นาที) เวลาการดูโดยรวมอยู่ที่แค่ราวๆ 2 ชั่วโมงครึ่ง
คงเพราะคำว่า ‘มินิซีรีส์’ ล่ะมั้งครับ ผมเลยไม่ได้คาดหวังว่าเรื่องนี้จะเล่าประเด็นครบถ้วนเทียบเท่าอนิเมะ 12 ตอน 
ซึ่ง…ผมคิดผิดแฮะ เพราะเขาใช้เวลาเล่าแค่ 6 ตอนคุ้มค่ามาก
ในเวลาแค่ 6 ตอน เรื่องจะพาเราไปสำรวจแง่มุมของปัญหาแบบเนื้อเน้นๆ เลยครับ ทุกนาทีที่ใช่ในการเล่าเรื่องคือเรื่องนี้เล่าได้คุ้มเวลาสุดๆ ผมว่าเผลอๆ อาจจะคุ้มเกินเวลาที่ใช้เล่าด้วย แถมทุกปมปัญหาที่เรื่องได้พาเราไปสำรวจ ในตอนจบ คนดูอย่างเราๆ จะได้รับ “การตอบแทน” จากการดูเรื่องราวของพวกเขามาตลอดทั้งเรื่องครับ

2.ความลงตัวขององค์ประกอบ
อันนี้อธิบายให้เห็นภาพยาก แต่อยากให้ลองสัมผัสแค่ 10 นาทีแรกของตอนที่ 1 ดูครับ ในเวลาแค่นั้นผมรู้สึกเลยว่างานภาพ ดนตรี เสียงพากย์ แอนิเมชัน ทุกอย่างมันกลมกล่อมไปทางเดียวกันแบบสุดๆ (แต่อันนี้อาจจะแล้วแต่รสนิยมคนด้วยล่ะมั้งครับ แต่สำหรับผมมองว่าเป็นงานคราฟต์ที่ดูตั้งใจทำพอสมควรเลย)


3.การสำรวจรากของปัญหาที่นำไปสู่ Solution ในการรับมือกับปัญหาในเรื่อง
ข้อนี้ผมชอบมาก เพราะบ่อยครั้งที่เรื่องแต่งแนวสะท้อนสังคมจะเล่าแค่แบบ สังคมของเราไม่ดีเพราะแบบนั้นแบบนี้ คนเราเกิดมาไม่เท่ากัน คนรวยเอาเปรียบคนจน มนุษย์ทำลายสิ่งแวดล้อม บลาๆ แต่ไม่ได้นำเสนอแนวทางการแก้ปัญหาที่จับต้องได้ (ซึ่งก็เข้าใจได้นะ บางปัญหาที่สเกลใหญ่มันแก้ยากในทางปฎิบัติจริงๆ) แต่เรื่องนี้ นอกจากมันจะพาเราไปสำรวจถึงรากของปัญหาแล้ว มันยังให้ Solution ในการเผชิญปัญหากับตัวละครเด็กๆ ในเรื่องครับ แถมสำหรับผู้ใหญ่อย่างเรา ก็ข้อคิดที่ผมว่าเราทุกคนนำไปปฎิบัติได้จริงเพื่อช่วยให้สังคมหรือคนที่เรารักดีขึ้นกว่าเดิมได้ด้วยล่ะครับ

4.วิธีการเล่าแบบ ‘น้อยแต่เยอะ’
มาถึงอีกข้อที่ผมเซอร์ไพรซ์สุดๆ เลยล่ะครับ คือการที่เรื่องสามารถเล่าออกมาได้แบบมินิมอลจัดๆ มันคือเหตุผลหลักที่ผมเขียนกระทู้นี้ขึ้นมาเพื่อวิเคราะห์วิธีที่เรื่องนี้ใช้ Storytelling กับเรา ซึ่งรายละเอียดจะเล่าในส่วนถัดไปครับ


เรื่องนี้เหมากับใคร?
1.ผู้ชมที่สภาพจิตใจแข็งแรง เพราะเรื่องมี topic ของความรุนแรง , การกลั่นแกล้ง , ปัญหาครอบครัว , แนวคิดของผู้ใหญ่ที่ส่งผลต่อสภาพจิตใจและพฤติกรรมของเด็กๆ
2.นักเขียนที่สนใจการเล่าแก่นเรื่อง ( Theme ) : คือสำหรับผม ผมว่าอาจารย์คนเขียนเขาเก่งมากเลยนะที่เล่าธีมออกมาได้ในมังงะแค่ 16 ตอน หรือ 2 เล่ม (6 ตอนของอนิเมะ) ใช้ตัวละครเดินเรื่องหลักแค่เด็กๆ 3 คน (+ทาโกปี้อีก 1 ตัว) แล้วเรารู้สึกว่าเรื่องดำเนินไปโดยธรรมชาติไม่ยัดเยียด สถานการณ์แต่ละอย่างที่ใส่เข้ามาเพื่อเดินเรื่องคราฟ์ออกมาได้ดีจนน่าศึกษาเป็นแบบอย่างเลยล่ะครับ (เดี๋ยวจะมีอธิบายเพิ่มในส่วนวิเคราะห์)
ดูได้ที่ไหน
1.Netflix
2.Youtube Ani-One Thailand (ดูฟรีถูกลิขสิทธิ) https://youtu.be/F4n_j1mZ5J0?si=-ETHVMALLd9e1k0u

สุดท้ายนี้ ในส่วนของรีวิวก็อยากให้ทุกคนลองไปสัมผัสกับตัวเองครับ เรื่องนี้มีบางอย่างที่ดีเกินคาดจริงๆ 
ถัดจากส่วนนี้จะเป็นการวิเคราะห์ในเชิง Storytelling แล้วนะครับ ถ้าเพื่อนๆ คนไหนยังไม่ดู แนะนำว่าอย่าพึ่งอ่านส่วนที่อยู่ใน [Spoiler] จนกว่าจะดูจบนะครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่