การเชื่อพระเจ้าถือว่าเป็นความศรัทธาหรืองมงาย

หลายคนคิดว่า ความเชื่อต่างๆ ที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้นั้น ล้วนเป็นความงมงาย
โดยพวกเขาลืมคิดไปว่า เรื่องที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้นั้น ล้วนเป็นความเชื่อทั้งสิ้น
ซึ่งมีบางเรื่องที่เป็นเรื่องจริง  แต่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันยังไม่สามารถทำการพิสูจน์ได้
โดยที่มนุษย์อาจต้องใช้เวลาอีกนับร้อยนับพันปี จึงจะสามารถทำการพิสูจน์ได้สำเร็จ

ความเชื่อ  หมายถึง ความแน่ใจในสิ่งที่มองไม่เห็น หรือสิ่งนั้นยังไม่เกิดขึ้น
ซึ่งความเชื่ออาจเป็นเรื่องจริงหรือเท็จก็ได้

ความเชื่อมี 2 ประเภท  ดังนี้

1. ศรัทธา  หมายถึง ความเชื่อที่ใช้หลักเหตุผลมาพิจารณา

2. งมงาย  หมายถึง ความเชื่อที่ไม่ใช้หลักเหตุผลมาพิจารณา

เข้าประเด็น

ศาสนาที่เชื่อในพระเจ้า ล้วนมีคัมภีร์ที่เกี่ยวกับพระเจ้าของตน
โดยศาสนิกแทบทั้งหมดเชื่อว่าคัมภีร์ของตนเองถูกต้อง  
เนื่องจากผู้นำทางศาสนาของตนเองได้กล่าวอย่างนั้น  ศาสนิกจึงเชื่อตามกันมานับเป็นพันๆ ปี

ข้อสังเกต

1. คัมภีร์ได้เกิดขึ้นในสมัยโบราณ  ซึ่งในยุคนั้นเทคโนโลยียังล้าหลังมาก
การบันทึกจึงใช้วิธีจดจำ หรือเขียนหมึกลงในหนังสัตว์และกระดาษ เป็นต้น
แล้วทำการคัดลอกจากต้นฉบับไปยังสำเนาเมื่อต้นฉบับชำรุดทรุดโทรม หลายทอดด้วยกัน
จึงมีความคลาดเคลื่อนสูง  ข้อความต่างๆ ในคัมภีร์จึงอาจมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น

2. ศาสนิกต่างเชื่อว่า ข้อความในคัมภีร์ของตนนั้นถูกเขียนขึ้นโดยได้รับการดลใจจากพระเจ้า
ดังนั้นข้อความต่างๆ ในคัมภีร์ จึงถูกต้องโดยไม่มีข้อผิดพลาด

ข้อพิจารณา

1. หากศาสนิกคนใดอ่านคัมภีร์ด้วยความระมัดระวัง โดยเชื่อมโยงเรื่องราวต่างๆ ในคัมภีร์
ให้ปะติดปะต่อกันอย่างสมเหตุสมผล  เพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงว่า มีข้อความใดในคัมภีร์ที่มีข้อผิดพลาดหรือไม่
ศาสนิกคนนั้นจึงถือว่า ศรัทธาในศาสนา

2. หากศาสนิกคนใดไม่อ่านคัมภีร์ด้วยความระมัดระวัง โดยไม่ได้เชื่อมโยงเรื่องราวต่างๆ ในคัมภีร์
ให้ปะติดปะต่อกันอย่างสมเหตุสมผล  และไม่แสวงหาข้อเท็จจริงว่า มีข้อความใดในคัมภีร์ที่มีข้อผิดพลาดหรือไม่
ศาสนิกคนนั้นจึงถือว่า งมงายในศาสนา

***เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคลซึ่งอาจถูกหรือผิดก็ได้  โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน***
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่