เจรจายุติสงครามก็แค่.. โลกสวย !!!

ทำไมการเจรจายุติ "สงคราม" หลายคนถึงมองว่าโลกสวย

บางที…คำว่า "สันติภาพ" ก็อาจเป็นเพียงแค่คำพูดสวยหรูที่โลกสร้างขึ้นเพื่อปิดบังกลไกของความรุนแรงที่ยังหมุนอยู่ในเงามืดของมนุษยชาติ มันคือวาทกรรมที่ถูกใช้ซ้ำๆ บนโต๊ะเจรจา ในขณะที่อีกมือหนึ่งยังถือดาบอยู่หลังแผ่นหลังอย่างแนบเนียน เหมือนที่ ฮันโซ เคยจับมือกับ ยาฮิโกะ พร้อมคำสัญญาถึงโลกที่ดีกว่า แต่สุดท้ายก็แทงข้างหลังด้วยความกลัวในอำนาจใหม่ที่อาจมาแทนตน ไม่ต่างจาก ดันโซ ที่อ้างว่าสู้เพื่อโคโนฮะ แต่ใช้วิธีสกปรกยิ่งกว่าศัตรู

หลายครั้งที่คำว่า “เจรจาเพื่อสันติ” กลายเป็นคำที่ถูกมองด้วยสายตาเยาะเย้ยว่าโลกสวย ว่าหลอกตัวเอง ว่าดูไม่ออกว่าโลกนี้มันโหดร้ายขนาดไหน แต่ในความจริง มันอาจเป็นเพราะโลกนี้โหดร้ายเกินไป จนบางคนไม่เหลือพื้นที่ในใจสำหรับคำว่า “ความหวัง” อีกต่อไป พวกเขาเชื่อใน “ความยุติธรรม” แบบทันตาเห็น ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ชดใช้ด้วยเลือด เพื่อให้รู้ว่าความเจ็บปวดมันร้ายแรงแค่ไหน พวกเขาอาจเคยสูญเสียใครสักคนไปต่อหน้าต่อตาแล้วจะให้เขาเชื่อในคำว่า “การเจรจา” งั้นหรือ?

เราเลยไม่แปลกใจที่ใครหลายคนมองนารูโตะว่าเป็น “ไลฟ์โค้ช” มองยาฮิโกะว่าเป็นพวกโลกสวย คนที่ยังยิ้มในวันที่ไฟไหม้หมู่บ้าน หรือกล้าพูดถึง “สันติภาพ” ต่อหน้าคนที่ถือปืนพร้อมยิงใส่หัว เพราะสิ่งที่พวกเขาพูด มันไม่ใช่การตอบโต้ แต่มันคือการขอให้ใครสักคน “หยุดก่อน” ทั้งที่รู้ว่าอาจโดนแทงข้างหลังเหมือนฮันโซกับดันโซทำกับยาฮิโกะ

แต่ก็เพราะเราเห็นตัวอย่างของการหักหลังในนามของสันติภาพนี่แหละ เราถึงตั้งคำถามว่า แล้วเราควรเชื่อมั่นในคำว่า “การเจรจา” ไปเพื่ออะไร? เพราะมันดูเหมือนช่องว่างให้ศัตรูวางแผนซ้ำซ้อน ไม่ต่างจากสงครามไทย-กัมพูชา ที่เราต่างเคยพูดว่า “เราจะไม่ยิงก่อน” แต่แล้วข่าวประชาชนตายกลับปรากฏอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์เสมอ

ถึงอย่างนั้น...การไม่เลือกเจรจา ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะ “ปลอดภัย” ขึ้น มันแค่ทำให้เลือดบนผืนแผ่นดินนี้แห้งไม่ทันได้ล้าง และเราอาจสูญเสียมากกว่าเดิม

มันจึงกลายเป็นคำถามวนลูป จะยอมเสี่ยงเพื่อสันติ หรือลงมือเพื่อความยุติธรรมแบบไม่ต้องพูดมาก?

เจรจาไม่ใช่โลกสวย แต่มันคือ “โลกที่เราอยากเห็น” ในวันที่เราทนไม่ไหวกับสิ่งที่มันเป็นอยู่ และถ้าวันนั้นไม่มีใครกล้าพูดถึงสันติอีกต่อไป ความรุนแรงอาจจะกลายเป็นภาษาหลักของมนุษย์ไปตลอดกาล..

และแน่นอนว่าโลกนินจาที่เราเคยเห็นผ่านสายตาของนารูโตะ ซาสึเกะ หรือฮีโร่คนอื่นๆ มักจะถูกเคลือบด้วยแสงแห่งความหวังและอุดมการณ์อันสูงส่ง แต่ถ้าลองสลัดแว่นสีชมพูออก แล้วมองโลกในแบบที่มันเป็น…บางทีโลกนินจาอาจจะดำมืดยิ่งกว่าที่ใครหลายคนกล้าเผชิญหน้าด้วยซ้ำ

เพราะความจริงคือ โลกนินจาไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยคำว่า “ถูกหรือผิด” แต่มันคือการตัดสินใจระหว่าง “สิ่งจำเป็น” กับ “สิ่งที่เลี่ยงไม่ได้” เหล่าหน่วยลับที่ต้องยอมละทิ้งชีวิต ยอมเป็นหมากตัวเล็กในเกมการเมืองระดับหมู่บ้าน ไม่ใช่เพราะพวกเขาไร้หัวใจ แต่เพราะพวกเขาไม่มีสิทธิ์เลือกตั้งแต่ต้น

และที่น่าขบขันยิ่งกว่าคือ...เรากลับกลายเป็นผู้ชมที่ยืนตัดสินอยู่ข้างสนาม ชี้นิ้วใส่รุ่น 3 ว่าขายชาติ ขายฮิซาชิ เพื่อสันติภาพจอมปลอม โดยลืมไปว่าถ้าสงครามปะทุขึ้นมา คุโมะด้านหน้า อิวะด้านหลัง โคโนฮะก็อาจกลายเป็นแค่เถ้าถ่าน และเราคงไม่มีแม้แต่เรื่องให้มานั่งถกกันในวันนี้ด้วยซ้ำ

ลองนึกในเชิงมนุษยวิทยาดูสิ…สังคมนินจาคือสังคมที่โครงสร้างอำนาจถูกผูกไว้กับสงคราม ความลับ และการเสียสละ มันคือรูปแบบหนึ่งของรัฐที่อาศัย "การควบคุมความกลัว" เป็นเครื่องมือบริหาร ไม่ต่างจากระบบจักรวรรดิใน Warhammer 40K ที่ยอมสละพันล้านชีวิตเพื่อรักษาความมั่นคงของจักรวาล หรือแม้แต่การล้างบางอุจิวะ มันไม่ใช่แค่ “ความผิดพลาด” แต่มันคือการผ่าตัดเพื่อกันเนื้อร้ายไม่ให้ลุกลาม

แล้วใครล่ะจะกล้าปฏิเสธว่า มินาโตะ ซึนาเดะ หรือแม้แต่คาคาชิจะไม่เลือกทำแบบเดียวกันหากความจำเป็นกดดันให้ต้องเลือก "หมู่บ้าน" เหนือ "ศีลธรรม"?

ส่วนดันโซ…เขาอาจไม่ได้ดีอย่างที่ชื่อบอกไว้ แต่การมีอยู่ของเขาคือการชี้ให้เห็นว่า “ความสงบที่เราเห็น” บางครั้งก็มีรากฐานมาจากเงามืดที่ไม่อาจพูดออกมาตรงๆ ได้ในที่สาธารณะ เพราะการลอบฆ่า การควบคุม การกวาดล้าง ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องธรรมดาในโครงสร้างอำนาจที่ไม่เคยโปร่งใสอยู่แล้ว มันเลยไม่แปลกที่รุ่น 3 ถึงปล่อยให้ดันโซอยู่ เพราะการโค่นคนอย่างดันโซ ไม่ใช่แค่กำจัดคนหนึ่งคน แต่มันอาจหมายถึงการเปิดสงครามกลางเมืองในหมู่บ้านนินจา

และเมื่อพูดถึงความน่าสงสัยที่แฝงเร้นอยู่...ใครกันจะกล้าเชื่อว่า “คุโมะ” ที่เคยลักพาตัวคุชินะ และยังแอบสร้างปืนใหญ่จักระในยุคสันติ กลับกลายเป็นพันธมิตรที่ “ไว้ใจได้” จริงหรือ? หรือพวกเขาแค่ยิ้มให้เราเพราะรู้ว่า เราไม่มีแรงจะต่อต้านแล้วกันแน่?

บางครั้ง…การเจรจาอาจจะเป็นทางออกที่ดี อย่างที่เรานึกถึงในบริบทไทย-กัมพูชา แต่คำถามคือถ้าความไว้ใจมันพังตั้งแต่ยังไม่เริ่มเจรจา เราจะทำอย่างไร? เราจะยอม “ปล่อยให้ดันโซในโลกความจริง” ทำในสิ่งที่จำเป็นก่อนใครทุกคน หรือจะยื้อเวลาให้ศีลธรรมหล่อเลี้ยงเราไว้จนวินาทีสุดท้าย?

บางทีโลกที่เราอยู่ ก็ไม่ได้ต่างจากโลกนินจาเท่าไหร่นัก
มีคนที่ยอม “ยืนอยู่ในความมืดเพื่อปกป้องแสงสว่าง”
มีคนที่ถูกตราหน้าว่าชั่ว ทั้งที่เขาอาจจะเป็นเพียง “คนที่ยอมเลือกสิ่งที่ไม่มีใครกล้าเลือก”

และบางความจริง…อาจสมควรปล่อยให้มันถูกฝังไว้ใต้เงาเช่นนั้นต่อไป เพราะโลกนี้ ไม่ได้ต้องการคำตอบเสมอไป
แต่อย่างน้อย มันต้องการคนที่กล้าตั้งคำถาม

ถ้าโลกนินจาคือภาพจำลองของโครงสร้างอำนาจในโลกจริง งั้นในมิติหนึ่งกัมพูชาเองก็คือ ดันโซ-ฮันโซ ที่เปลี่ยนสีได้ตามสถานการณ์ พูดถึงมิตรภาพระหว่างรัฐ แต่การกระทำกลับสวนทางอย่างเจ็บแสบ มันคือการเมืองแบบ “เชิงสัญญาแต่ไม่เชิงศรัทธา” คือการเล่นเกมแห่งอำนาจที่ฝ่ายหนึ่งยังเชื่อในเจตนาดี ในขณะที่อีกฝ่ายจ้องจะล้ำเส้นทันทีที่อีกฝ่ายเผลอกะพริบตา

ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาในบางช่วงเวลา จึงไม่ต่างจากภาพจำของเพนที่เคยเชื่อในคนที่พูดถึงสันติอย่างหนักแน่น แต่สุดท้ายกลับต้องสร้าง “ความเจ็บปวดที่เท่าเทียม” ขึ้นมาเพื่อเตือนโลกให้จำว่าคำพูดโดยลำพังไม่เคยเปลี่ยนอะไรได้ถ้าการกระทำยังคงเดิม

สงครามไม่ใช่แค่เรื่องของปืนหรือดินแดน แต่มันคือความขัดแย้งของโลกทัศน์ ความกลัวที่จะถูกกลืน และความอยากครอบครองที่ฝังรากลึกในโครงสร้างสังคม มันคือลูปของประวัติศาสตร์ที่กลับมาในรูปแบบใหม่ แต่วิธีคิดแบบเดิม ใครแข็งแกร่งกว่าคนนั้นรอด ใครอ่อนข้อก่อนคือฝ่ายพ่ายแพ้

เราชอบพูดเรื่อง "เจรจา" กันอย่างมีศีลธรรม แต่ในโลกที่การทรยศถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระบบ เจรจามักกลายเป็นเพียงเวทีให้ผู้มีอำนาจถ่วงเวลาเพื่อสร้างแรงได้เปรียบ ไม่ใช่พื้นที่ของความเข้าใจอย่างแท้จริง

คำถามคือ…เราจะยังอยากเป็น “เพนที่เชื่อในคำสัญญา” หรือจะยอมรับว่าโลกมันไม่มีพื้นที่ให้กับอุดมคติแบบนั้นอีกแล้ว?

บางที…สิ่งที่น่ากลัวไม่ใช่สงครามหรอก แต่คือ “สันติภาพจอมปลอม” ที่หลอกเราให้ลดการ์ด แล้วแทงเราซ้ำด้วยรอยยิ้ม

สุดท้ายมันก็มีแต่เรื้อรัง ถ้าทั้งสองฝ่ายไม่ตาย หรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตายหมด สุดท้ายก็ลงเอยด้วยการเจรจายุติสงครามอยู่ดีไม่ใช่หรอ?

…นั่นแหละคือความย้อนแย้งของสงครามทมันเริ่มต้นจากความเกลียดชัง, ดำเนินไปด้วยความสูญเสีย, แล้วจบลงด้วย "การเจรจา" ที่บางทีอาจเกิดขึ้นช้าเกินไป

ทั้งสองฝ่ายต่างทุ่มทรัพยากร ทหาร คนรัก ลูกหลาน ความหวัง และอนาคตของคนรุ่นถัดไป เพื่อชัยชนะที่ไม่เคยมั่นคง และสุดท้ายก็มานั่งโต๊ะเดียวกันอยู่ดี
แต่โต๊ะนั้น…เต็มไปด้วยเงาวิญญาณของคนที่ไม่มีวันได้เห็นสันติภาพที่พวกเขาถูกใช้ชื่ออ้างถึง

มันเรื้อรัง เพราะไม่มีใครยอมเจ็บก่อน ไม่มีใครอยากพับดาบลงก่อน กลัวว่าจะดูอ่อนแอ กลัวเสียหน้า กลัวเสียสิ่งที่เชื่อว่าควรเป็นของเราแต่ทุกครั้งที่ยื้อไว้ ไม่ใช่แค่ศัตรูที่ล้มลง มันรวมถึงความเป็นมนุษย์ในใจเราด้วย

สงครามคือพฤติกรรมดั้งเดิมของชนเผ่าที่ขยายใหญ่ขึ้นในระดับรัฐ เราแค่เปลี่ยนอาวุธจากหอกมาเป็นจรวด เปลี่ยนคำอธิษฐานต่อเทพเจ้า มาเป็นการแถลงข่าวต่อประชาชน แต่ลึกๆ มันยังคือการสู้เพื่ออำนาจ พื้นที่ และศักดิ์ศรี แค่ในเวอร์ชันที่ซับซ้อนขึ้น

ด้วยความเป็นมนุษย์มักไม่ยอมแพ้ก่อน เพราะเรากลัวว่าจะ “สูญเสียไปเปล่าๆ” นี่แหละคือ Fallacy of sunk cost ที่พาเราดำดิ่งต่อ แม้รู้ว่ามันไม่มีทางชนะจริงๆ ทั้งที่ความกล้ายิ่งใหญ่ที่สุด บางครั้งคือการ “ยอมแพ้ก่อนที่ทุกอย่างจะพังไปหมด”

สุดท้ายไม่ว่าจะตายกันไปกี่คน ฝ่ายไหนเหลือมากกว่าก็ต้อง “นั่งคุย” อยู่ดี ไม่มีใครอยู่รอดจากสงครามได้ในสภาพเดิม ไม่ว่าจะเป็นผู้แพ้หรือผู้ชนะ และสงครามที่เรื้อรังที่สุด…ไม่ใช่ระหว่างประเทศกับประเทศ แต่คือสงครามในใจของมนุษย์ที่ยึดมั่นถือมั่นในความแค้นมากกว่าความเข้าใจ

สุดท้าย..“มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีวันเข้าใจกันและกันได้”

บางที…เราต่างก็รู้คำตอบอยู่แล้ว ว่าเราไม่ได้ต้องรอให้ใครตายหมด ถึงจะเริ่มต้นการเจรจาได้ แต่เรารอ…เพราะไม่มีใครอยากเป็นคนแรกที่วางอาวุธลง เพราะในโลกของอัตตา การวางดาบดูเหมือนความพ่ายแพ้ทั้งที่จริงๆ แล้ว มันอาจเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษยชาติ

และเราต้องยอมรับก่อนว่า "การเจรจา" ไม่ใช่เครื่องมือการันตีผลลัพธ์ แต่มันคือ "พื้นที่ให้เราวัดใจอีกฝ่าย และวัดใจตัวเองด้วย" คือพื้นที่ที่เราจะได้รู้ว่าอีกฝ่าย ต้องการสันติจริงไหม หรือแค่ซื้อเวลา

หากมองในเชิง Realpolitik เราจึงต้องมี ทั้งเวทีเจรจา และแผนรองรับการผิดสัญญา เพราะในโลกที่ขับเคลื่อนด้วยอำนาจ บางครั้ง "ดาบ" ก็ต้องถูกเก็บไว้ในมุมห้องประชุม
ไม่ใช่เพื่อใช้ก่อน แต่เพื่อเตือนอีกฝ่ายว่า เราไม่ได้อ่อนแอจนไร้ทางเลือก

ในที่สุดแล้ว เจรจาก็ยังคงเป็น "ความหวังเดียวที่ยังพอมี"
แต่ความหวังนั้นไม่ควรเดินโดยลำพัง มันต้องมาคู่กับสติ ปัญญา และการอ่านเกมให้ขาด

เพราะในโลกที่ความไว้ใจถูกใช้เป็นเครื่องมือ
เราไม่จำเป็นต้องหยุดยื่นมือออกไป แต่ควรรู้เสมอว่า...มืออีกข้างหนึ่งของเราก็ต้องจับดาบไว้ด้วย ไม่ใช่เพื่อฟัน แต่เพื่อกัน

…บางที ยาฮิโกะ ก็ไม่ได้ผิดที่เชื่อในสันติภาพ เขาแค่เกิดมาเร็วเกินไป สำหรับโลกที่ยังไม่พร้อมจะเชื่อในสิ่งเดียวกัน

และ นารูโตะ เอง ก็ไม่ได้โลกสวยไปกว่าความหวังที่พ่อแม่เขาเคยฝากไว้ให้กับโลกนินจาที่แตกสลาย
แต่หากวันหนึ่ง นารูโตะ เองเจรจาแล้วล้มเหลว โลกอาจจมอีกครั้งในความสิ้นหวังที่หนาวเหน็บ...
แต่อย่างน้อยก็ยังมีโอกาสให้ใครสักคน “คนถัดไป” ลุกขึ้นมาพูดคำเดียวกันอีกครั้ง “สันติภาพ” แม้จะเป็นสันติภาพที่อยู่ได้เพียงชั่วครู่เดียว เหมือนแสงไฟในพายุ แต่นั่นก็อาจเพียงพอเพียงพอที่จะจุดประกายให้ใครอีกคนลุกขึ้นมาต่อ…

เพราะในทุกยุคสมัย โลกต้องการ “คนดื้อด้าน” สักคน ที่เชื่อในบางอย่าง แม้ทั้งโลกจะเลิกเชื่อมันไปแล้วก็ตาม

และนั่นอาจเป็นสิ่งที่ทำให้ “การเจรจา” ไม่ใช่เรื่องโลกสวยแต่คือการ “กล้ายืนยันความหวัง” ในโลกที่ใครๆ ก็เลือกใช้ความกลัวเป็นอาวุธ

ดังนั้น… ต่อให้ความหวังจะบอบบางแค่ไหน ต่อให้สันติภาพจะถูกหักหลังซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เราก็ยังต้องพูดถึงมันต่อไป…
เพราะถ้าเราหยุดพูดถึง “สันติภาพ”
วันนั้นนั่นแหละ โลกจะกลายเป็นนรกโดยสมบูรณ์

และท้ายที่สุด… ชัยชนะของมนุษย์ อาจไม่ใช่การรอดจากสงครามแต่คือ การไม่ยอมให้ไฟแห่งความหวังดับลง
แม้ในวันที่เถ้าถ่านคลุมทุกตารางนิ้วของแผ่นดินก็ตาม..

#Naruto #Boruto #นารูโตะ #โบรูโตะ
#BorutoTwoBlueVortex

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่