ประกันภัยรถยนต์ โดยทั่วไป “ไม่รับผิดชอบ” ความเสียหายที่เกิดจากสงคราม เว้นแต่มีเงื่อนไขพิเศษในกรมธรรม์ที่ระบุไว้ชัดเจน ดังนี้
1. ประกันภัยรถยนต์ทั่วไป (ภาคสมัครใจ – ชั้น 1, 2+, 3+)
ไม่คุ้มครอง ความเสียหายจาก
-สงคราม (War)
-การรุกราน การก่อการร้าย การจลาจล หรือการปฏิวัติ
-การยึดทรัพย์ของรัฐ/ทหาร
เพราะถือว่าเป็น "เหตุสุดวิสัย" ที่บริษัทประกันไม่สามารถประเมินความเสี่ยงและควบคุมได้
ตัวอย่างข้อความในกรมธรรม์:
“ไม่คุ้มครองความเสียหายอันเกิดจาก สงคราม การรุกราน การปฏิวัติ การก่อการร้าย หรือการกระทำของทหารในการใช้กำลัง”
2. พ.ร.บ. รถยนต์ (ประกันภาคบังคับ)
ยังคง คุ้มครองค่ารักษาพยาบาลของ “บุคคลภายในรถ” (คนขับ/ผู้โดยสาร) หากเกิดอุบัติเหตุ ไม่ว่าจากเหตุใดก็ตาม
ยกเว้นบางกรณีที่พิสูจน์ได้ว่าเจตนาเข้าพื้นที่เสี่ยงโดยประมาทร้ายแรงหรือจงใจ
3. ถ้าอยากให้คุ้มครองช่วงสงคราม ต้องทำอย่างไร?
ต้องซื้อ “ประกันภัยเฉพาะทาง” เช่น
ประกันภัยรถยนต์ในเขตพื้นที่สงคราม (War Risk Insurance – Rare and Expensive)
หรือประกันภัยพิเศษที่มีเงื่อนไขระบุว่า คุ้มครองเหตุจากสงคราม/การจลาจล
แต่บริษัทประกันในไทย แทบไม่มีใครขายประกันแบบนี้ให้บุคคลทั่วไป เพราะความเสี่ยงสูงและยากต่อการประเมิน
ขับรถช่วงเกิด “สงคราม” หรือ “สถานการณ์ฉุกเฉินทางทหาร” เป็นสถานการณ์ที่อันตรายและไม่ปกติอย่างยิ่ง การกระทำใด ๆ ควรตั้งอยู่บนความปลอดภัยของตัวเองเป็นหลัก
ขับรถช่วงเกิด "สงคราม" ประกันภัยรับผิดชอบไหม?
1. ประกันภัยรถยนต์ทั่วไป (ภาคสมัครใจ – ชั้น 1, 2+, 3+)
ไม่คุ้มครอง ความเสียหายจาก
-สงคราม (War)
-การรุกราน การก่อการร้าย การจลาจล หรือการปฏิวัติ
-การยึดทรัพย์ของรัฐ/ทหาร
เพราะถือว่าเป็น "เหตุสุดวิสัย" ที่บริษัทประกันไม่สามารถประเมินความเสี่ยงและควบคุมได้
ตัวอย่างข้อความในกรมธรรม์:
“ไม่คุ้มครองความเสียหายอันเกิดจาก สงคราม การรุกราน การปฏิวัติ การก่อการร้าย หรือการกระทำของทหารในการใช้กำลัง”
2. พ.ร.บ. รถยนต์ (ประกันภาคบังคับ)
ยังคง คุ้มครองค่ารักษาพยาบาลของ “บุคคลภายในรถ” (คนขับ/ผู้โดยสาร) หากเกิดอุบัติเหตุ ไม่ว่าจากเหตุใดก็ตาม
ยกเว้นบางกรณีที่พิสูจน์ได้ว่าเจตนาเข้าพื้นที่เสี่ยงโดยประมาทร้ายแรงหรือจงใจ
3. ถ้าอยากให้คุ้มครองช่วงสงคราม ต้องทำอย่างไร?
ต้องซื้อ “ประกันภัยเฉพาะทาง” เช่น
ประกันภัยรถยนต์ในเขตพื้นที่สงคราม (War Risk Insurance – Rare and Expensive)
หรือประกันภัยพิเศษที่มีเงื่อนไขระบุว่า คุ้มครองเหตุจากสงคราม/การจลาจล
แต่บริษัทประกันในไทย แทบไม่มีใครขายประกันแบบนี้ให้บุคคลทั่วไป เพราะความเสี่ยงสูงและยากต่อการประเมิน
ขับรถช่วงเกิด “สงคราม” หรือ “สถานการณ์ฉุกเฉินทางทหาร” เป็นสถานการณ์ที่อันตรายและไม่ปกติอย่างยิ่ง การกระทำใด ๆ ควรตั้งอยู่บนความปลอดภัยของตัวเองเป็นหลัก