พอกลับมาอ่าน มาดูโบรุโตะอีกที จะว่าไป
บางทีสิ่งที่น่าทึ่งที่สุดในเรื่อง Boruto ไม่ใช่พลังที่เว่อวัง ไม่ใช่ตำนานโบราณ หรือแม้แต่การสืบทอดมรดกของยุคก่อน... แต่มันคือ “การไม่อิจฉา” ต่างหากที่โคตรจะขัดกับสูตรสำเร็จของโชเน็นแบบเดิม ๆ ที่เราคุ้นชิน
คาวากิในฐานะ deuteragonist ไม่เคยพยายามแข่งกับโบรูโตะ ไม่เคยดิ้นรนจะเป็นพระเอกของเรื่อง แค่รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ต้องทำ แล้วก็ step up เฉย ๆ ไม่ต้องแสดง ไม่ต้องพิสูจน์ ไม่ต้องแข่งเพื่อเอาชนะใคร นี่ไม่ใช่ “rivalry” แบบนารูโตะกับซาสึเกะ หรือกอนกับคิรัวร์ แต่มันคือ “การอยู่เคียงข้าง” แบบที่ไม่ต้องพูดออกมาชัด ๆ
ในโลกที่เต็มไปด้วยแรงกดดันให้เปรียบเทียบกับคนอื่น ความสัมพันธ์ระหว่างคาวากิกับโบรูโตะคือการต่อต้านอย่างเงียบ ๆ ต่อ “ความรู้สึกว่าเราต้องเก่งกว่า ต้องเป็นที่หนึ่ง ต้องไม่แพ้” เขาทั้งสองต่างก็พูดประมาณว่า “อย่าถ่วงฉันนะ” หรือ “อย่าทำให้ฉันต้องลากนาย” แต่ไม่มีความรู้สึกว่า “ฉันต้องเหนือกว่า” อยู่ในนั้นเลย มันคือ banter แบบพี่น้อง ที่จริงใจและ safe ในระดับที่หายากมากในโชเน็น
คาวากิเคยเห็นโบรูโตะแสดงพลังตรงหน้า เคยถูกต่อยเข้าท้องโดยตรง แต่เขาไม่รู้สึกเสียหน้า ไม่รู้สึกด้อย หรืออยากแก้มือเพื่อพิสูจน์ตัวเอง ความเจ็บมันจบตรงนั้น เพราะจิตใจเขาไม่วอกแวกไปเรื่องเล็ก ๆ พลังที่เขาเลือกจะแสวงหา มันไม่ได้เกิดจากความอิจฉา แต่มาจากความตั้งใจที่ชัดเจน เพื่อปกป้องสิ่งที่เขารัก และรักษาสิ่งที่เชื่อว่า “ดีงาม” เอาไว้ให้ได้
ในทางกลับกัน โบรูโตะเองก็ไม่ได้เอาความเป็นลูกโฮคาเงะมาเป็นเครื่องมือข่มใคร เขาไม่เคยใช้สถานะเหนือกว่าทางสังคมมาทำให้คาวากิรู้สึกต่ำต้อย ในทางตรงกันข้าม เขา เลือก จะเข้าใจคาวากิในแบบที่ไม่มีใครพยายามทำ เพราะเขารู้ว่าคนคนนี้ไม่ได้ต้องการ “ตำแหน่ง” แต่ต้องการ “ความหมาย”
นั่นแหละที่ทำให้ความสัมพันธ์ของเขาสองคนมัน real กว่าความเป็นคู่แข่งไหน ๆ พวกเขาไม่ได้อยาก เอาชนะ กัน แต่อยาก ประคองกันไว้ ให้ไปรอดในโลกที่กำลังล่มสลาย
ในวันที่คาวากิถูกใส่ร้าย โดนเข้าใจผิด หรือแม้แต่ถูกหักหลังโดยคนรอบตัว เราไม่เคยเห็นเขาลุกขึ้นมาแก้แค้นแบบไร้เหตุผล เขาไม่พุ่งเข้าใส่ซาราดะ เขาไม่ตอบโต้กับมิตสึกิ ทั้งที่มีโอกาส เขาแค่หันกลับมาจัดการกับ “ภารกิจในใจ” ของเขาต่อ เพราะในหัวเขาไม่มีเวลาให้กับดราม่าที่ไม่ช่วยอะไร
ในวันที่ความทรงจำของทุกคนเปลี่ยนไป และโบรูโตะกลายเป็นผู้ร้าย คาวากิไม่ได้รีบเสพสุขกับชีวิตลูกโฮคาเงะ แต่กลับเลือกใช้สถานการณ์นี้เป็นเครื่องมือเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย
ทั้งหมดนี้มัน impossible ถ้าพวกเขาเป็นศัตรูที่หวังเอาชนะกัน ถ้าพวกเขาเป็นแค่คนที่เอา ego มาวัดกันทุกวันแบบสูตรโชเน็น แต่โบรูโตะกับคาวากิไม่เป็นแบบนั้น และนั่นแหละคือสิ่งที่ทำให้ความสัมพันธ์นี้ “ล้ำค่า” แบบที่หลายคนมองข้าม
บางทีมันอาจไม่ได้ต้องการคำว่า “พี่น้อง” หรือ “คู่หู” หรือ “คู่แข่ง” เพื่ออธิบายความสัมพันธ์ของทั้งคู่ แค่คำว่า “อยู่เคียงข้างกันโดยไม่ต้องเอาชนะ” ก็เพียงพอที่จะทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นอะไรที่เรา... ควรมีในชีวิตจริงบ้างสักที
ทุกครั้งที่คนพูดถึง “คู่แข่ง” ในโลกโชเน็น ชื่อของ “นารูโตะกับซาสึเกะ” มักจะโผล่มาเป็นตัวอย่างแรกเสมอ คู่ที่วิ่งไล่ตามกันด้วยความแค้น ความทรมาน และความพยายามจะยืนยันการมีอยู่ของตัวเอง... แต่พอเรามองมาที่ โบรูโตะกับคาวากิ มันกลับแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง จนบางครั้งรู้สึกเหมือนทั้งคู่ไม่เคยตั้งใจจะเป็น "คู่แข่ง" ในความหมายแบบนั้นเลยด้วยซ้ำ
ไม่มีใครอิจฉาใคร คาวากิไม่เคยมองโบรูโตะเป็นตัวแทนของสิ่งที่เขาไม่มี และโบรูโตะก็ไม่เคยมองคาวากิเป็นภัยคุกคามที่ต้องเอาชนะ พวกเขาไม่ได้ต่อสู้เพื่อแสดงว่าใครเหนือกว่า แต่เหมือนกำลัง วิ่งขนานไปด้วยกันคนละทาง โดยมีเป้าหมายคล้ายกันคือ “ปกป้องบางสิ่ง” ที่สำคัญกว่าชื่อเสียงหรือศักดิ์ศรี
ซาสึเกะคือรอยแผลที่เดินได้ เขาคือคนที่โลกทำร้ายจนมองไม่เห็นความรัก แม้จะมีคนยื่นมือให้ก็ยังปฏิเสธ จมอยู่ในความแค้นจนหาทางออกไม่เจอ แต่นั่นคือเสน่ห์ของเขา ความเจ็บของซาสึเกะคือภาพสะท้อนของมนุษย์ที่ยังไม่ให้อภัยแม้แต่ตัวเอง
แต่คาวากิกลับแตกต่าง เขาคือคนที่มีอดีตอันโหดร้ายพอ ๆ กัน แต่เลือกจะ “เก็บแผลไว้เงียบ ๆ แล้วเดินต่อ” โดยไม่ปล่อยให้มันกลายเป็นเชื้อไฟ เขาไม่ลุกขึ้นมาแข่งกับโบรูโตะเพื่อแย่งชิงความรักจากนารูโตะ แต่เลือกจะ “ปกป้องความรักนั้นไว้” ด้วยการเสียสละตัวเอง นั่นแหละคือความเติบโตที่เงียบงันแต่ทรงพลัง
และที่เจ็บคือ... โบรูโตะเองก็รู้ ว่าเส้นทางที่เขาเลือกเดินมันจะทำให้เขาต้องอยู่ตรงข้ามกับคาวากิในสักวัน แต่เขาก็ยังพยายามรักษาสายสัมพันธ์นั้นไว้ เหมือนคนที่ยอมโดนเกลียดเพื่อให้คนอีกคนได้รอด
ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนเลยกลายเป็นสิ่งที่ “เหนือกว่าคู่แข่ง” พวกเขาคือสองขั้วของความเจ็บที่เข้าใจกัน แต่เลือกจะ ไม่ทำลายกัน เพราะเข้าใจว่าการอยู่รอดมันไม่ใช่เรื่องของใครเก่งกว่าใคร แต่มันคือ “เราจะรอดไปด้วยกันได้ไหม?”
และความเจ็บลึก ๆ ที่ซับซ้อนที่สุดของคาวากิ เป็นจุดที่ทำให้เขา “ไม่ใช่เหยื่อ” แบบบริสุทธิ์เหมือนที่หลายคนอาจพยายามเข้าใจเขาไว้ในตอนแรก
คาวากิเลือก ที่จะช่วงชิงครอบครัวของโบรูโตะและฮิมาวาริ
เขาเลือก ที่จะขังนารูโตะกับฮินาตะไว้ในมิติที่ไม่มีใครเข้าถึงได้
เขาเลือก ทำลายความจริงของทั้งโลก แล้วปลูกฝังความลวงแทน
ทั้งหมดนี้เพื่อให้ “โลกเชื่อว่าเขาคือคนในครอบครัวจริง ๆ”
และในขณะเดียวกัน บีบบังคับให้โบรูโตะกลายเป็นคนแปลกหน้า
แต่นี่แหละคือความย้อนแย้งในตัวคาวากิ..
เขาไม่ต้องการ “แย่ง” ความรัก แต่เขา กลัว ว่าความรักที่ได้รับจะหายไป
เขาไม่ได้อิจฉาโบรูโตะในแบบที่ต้องเอาชนะ แต่เขา หวาดระแวง
ว่าโบรูโตะในร่างของ "ภาชนะ" อาจเป็นภัยต่อคนที่เขารัก
จนสุดท้าย ความหวาดกลัวแปรเปลี่ยนเป็น “ความควบคุม”
เขาไม่ได้เผาโลกให้วอดวายเพราะความแค้นแบบซาสึเกะ
แต่เขา แช่แข็ง โลกเอาไว้ เพื่อเก็บช่วงเวลาอบอุ่นนั้นไว้กับตัวเอง
ความเจ็บตรงนี้มันเลยไม่ใช่แค่ของโบรูโตะที่โดนพรากทุกอย่าง แต่คือ ความเจ็บของคาวากิด้วย ที่ต้อง “เป็นผู้ร้ายในโลกที่เขาอยากปกป้อง”
และที่บาดลึกกว่านั้นคือ โบรูโตะยังเข้าใจเขา ทั้งที่ถูกช่วงชิง ทั้งที่ถูกบิดเบือน โบรูโตะยังพยายามรักษาเขาไว้ เพราะเขารู้ว่า... คนที่ทำร้ายเขาคือคนที่กำลังจมอยู่ในฝันที่ปวดร้าว
บางทีความสัมพันธ์ของทั้งคู่ถึงได้ทรงพลัง เพราะมันไม่ได้มีแค่ความรักหรือความเกลียด แต่มันคือ “ความเข้าใจในความผิดพลาดของกันและกัน” มันคือการยอมรับว่า คนที่เจ็บ อาจเผลอทำร้ายใครโดยไม่ได้ตั้งใจ และคนที่ถูกทำร้าย… ก็อาจยังเลือกจะ ไม่เกลียดกลับ
ทั้งหมดนี้ไม่ได้ลบความผิดของคาวากิ แต่มันทำให้เราเห็นว่าเขา ไม่ใช่ปีศาจ เขาแค่เป็น “มนุษย์ที่พยายามควบคุมโลก เพื่อรักษาความรักเอาไว้” แม้มันจะทำลายคนอื่นไปทีละคนก็ตาม..
คาวากิรักนารูโตะแบบคนที่เคยไร้ที่พึ่ง และได้เจอแสงแรกในชีวิต
โบรูโตะรักพ่อในฐานะครอบครัวที่เคยละเลยกัน แต่เข้าใจกันในที่สุด
แต่เมื่อมีภัยจาก “โอมิปอเทนซ์” และการเปลี่ยนความทรงจำของผู้คน
ทั้งสองคนกลับต้องมายืนคนละฝั่ง ทั้งที่ตั้งใจจะปกป้อง “สิ่งเดียวกัน”
นี่แหละคือคู่แข่งที่ไม่ได้ต่อสู้ด้วยหมัด… แต่ด้วย “ความตั้งใจที่ตรงข้ามกัน”
พวกเขาเลยกลายเป็น “คู่แข่งในความรัก” โดยไม่แย่งความรักจากกัน แต่แข่งกันว่าใครจะรักษามันไว้ได้ดีกว่ากัน แข่งกันด้วยความเจ็บ แข่งกันด้วยวิธีคิด แข่งกันทั้งที่ยังอยากเข้าใจกันเสมอ
และนั่นแหละคือสิ่งที่ทำให้ความสัมพันธ์ของโบรูโตะกับคาวากิ เจ็บแบบโต ๆ ไม่ใช่คู่แข่งในสนามประลอง แต่เป็น คู่ขนานของความเชื่อในโลกที่กำลังพังทลาย
เพราะบางทีในโลกที่ทุกอย่างกำลังพังทลาย เราไม่ได้ต้องการใครสักคนที่เก่งกว่าเรา... แค่ใครสักคนที่ยัง “ไม่ทิ้งกัน” แม้เราจะเปลี่ยนไปแค่ไหนก็ตาม
#Naruto #Boruto #นารูโตะ #โบรูโตะ
#BorutoTwoBlueVortex
ในโลกที่ทุกคนอยากชนะ พวกเขาแค่อยากเข้าใจกัน
บางทีสิ่งที่น่าทึ่งที่สุดในเรื่อง Boruto ไม่ใช่พลังที่เว่อวัง ไม่ใช่ตำนานโบราณ หรือแม้แต่การสืบทอดมรดกของยุคก่อน... แต่มันคือ “การไม่อิจฉา” ต่างหากที่โคตรจะขัดกับสูตรสำเร็จของโชเน็นแบบเดิม ๆ ที่เราคุ้นชิน
คาวากิในฐานะ deuteragonist ไม่เคยพยายามแข่งกับโบรูโตะ ไม่เคยดิ้นรนจะเป็นพระเอกของเรื่อง แค่รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ต้องทำ แล้วก็ step up เฉย ๆ ไม่ต้องแสดง ไม่ต้องพิสูจน์ ไม่ต้องแข่งเพื่อเอาชนะใคร นี่ไม่ใช่ “rivalry” แบบนารูโตะกับซาสึเกะ หรือกอนกับคิรัวร์ แต่มันคือ “การอยู่เคียงข้าง” แบบที่ไม่ต้องพูดออกมาชัด ๆ
ในโลกที่เต็มไปด้วยแรงกดดันให้เปรียบเทียบกับคนอื่น ความสัมพันธ์ระหว่างคาวากิกับโบรูโตะคือการต่อต้านอย่างเงียบ ๆ ต่อ “ความรู้สึกว่าเราต้องเก่งกว่า ต้องเป็นที่หนึ่ง ต้องไม่แพ้” เขาทั้งสองต่างก็พูดประมาณว่า “อย่าถ่วงฉันนะ” หรือ “อย่าทำให้ฉันต้องลากนาย” แต่ไม่มีความรู้สึกว่า “ฉันต้องเหนือกว่า” อยู่ในนั้นเลย มันคือ banter แบบพี่น้อง ที่จริงใจและ safe ในระดับที่หายากมากในโชเน็น
คาวากิเคยเห็นโบรูโตะแสดงพลังตรงหน้า เคยถูกต่อยเข้าท้องโดยตรง แต่เขาไม่รู้สึกเสียหน้า ไม่รู้สึกด้อย หรืออยากแก้มือเพื่อพิสูจน์ตัวเอง ความเจ็บมันจบตรงนั้น เพราะจิตใจเขาไม่วอกแวกไปเรื่องเล็ก ๆ พลังที่เขาเลือกจะแสวงหา มันไม่ได้เกิดจากความอิจฉา แต่มาจากความตั้งใจที่ชัดเจน เพื่อปกป้องสิ่งที่เขารัก และรักษาสิ่งที่เชื่อว่า “ดีงาม” เอาไว้ให้ได้
ในทางกลับกัน โบรูโตะเองก็ไม่ได้เอาความเป็นลูกโฮคาเงะมาเป็นเครื่องมือข่มใคร เขาไม่เคยใช้สถานะเหนือกว่าทางสังคมมาทำให้คาวากิรู้สึกต่ำต้อย ในทางตรงกันข้าม เขา เลือก จะเข้าใจคาวากิในแบบที่ไม่มีใครพยายามทำ เพราะเขารู้ว่าคนคนนี้ไม่ได้ต้องการ “ตำแหน่ง” แต่ต้องการ “ความหมาย”
นั่นแหละที่ทำให้ความสัมพันธ์ของเขาสองคนมัน real กว่าความเป็นคู่แข่งไหน ๆ พวกเขาไม่ได้อยาก เอาชนะ กัน แต่อยาก ประคองกันไว้ ให้ไปรอดในโลกที่กำลังล่มสลาย
ในวันที่คาวากิถูกใส่ร้าย โดนเข้าใจผิด หรือแม้แต่ถูกหักหลังโดยคนรอบตัว เราไม่เคยเห็นเขาลุกขึ้นมาแก้แค้นแบบไร้เหตุผล เขาไม่พุ่งเข้าใส่ซาราดะ เขาไม่ตอบโต้กับมิตสึกิ ทั้งที่มีโอกาส เขาแค่หันกลับมาจัดการกับ “ภารกิจในใจ” ของเขาต่อ เพราะในหัวเขาไม่มีเวลาให้กับดราม่าที่ไม่ช่วยอะไร
ในวันที่ความทรงจำของทุกคนเปลี่ยนไป และโบรูโตะกลายเป็นผู้ร้าย คาวากิไม่ได้รีบเสพสุขกับชีวิตลูกโฮคาเงะ แต่กลับเลือกใช้สถานการณ์นี้เป็นเครื่องมือเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย
ทั้งหมดนี้มัน impossible ถ้าพวกเขาเป็นศัตรูที่หวังเอาชนะกัน ถ้าพวกเขาเป็นแค่คนที่เอา ego มาวัดกันทุกวันแบบสูตรโชเน็น แต่โบรูโตะกับคาวากิไม่เป็นแบบนั้น และนั่นแหละคือสิ่งที่ทำให้ความสัมพันธ์นี้ “ล้ำค่า” แบบที่หลายคนมองข้าม
บางทีมันอาจไม่ได้ต้องการคำว่า “พี่น้อง” หรือ “คู่หู” หรือ “คู่แข่ง” เพื่ออธิบายความสัมพันธ์ของทั้งคู่ แค่คำว่า “อยู่เคียงข้างกันโดยไม่ต้องเอาชนะ” ก็เพียงพอที่จะทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นอะไรที่เรา... ควรมีในชีวิตจริงบ้างสักที
ทุกครั้งที่คนพูดถึง “คู่แข่ง” ในโลกโชเน็น ชื่อของ “นารูโตะกับซาสึเกะ” มักจะโผล่มาเป็นตัวอย่างแรกเสมอ คู่ที่วิ่งไล่ตามกันด้วยความแค้น ความทรมาน และความพยายามจะยืนยันการมีอยู่ของตัวเอง... แต่พอเรามองมาที่ โบรูโตะกับคาวากิ มันกลับแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง จนบางครั้งรู้สึกเหมือนทั้งคู่ไม่เคยตั้งใจจะเป็น "คู่แข่ง" ในความหมายแบบนั้นเลยด้วยซ้ำ
ไม่มีใครอิจฉาใคร คาวากิไม่เคยมองโบรูโตะเป็นตัวแทนของสิ่งที่เขาไม่มี และโบรูโตะก็ไม่เคยมองคาวากิเป็นภัยคุกคามที่ต้องเอาชนะ พวกเขาไม่ได้ต่อสู้เพื่อแสดงว่าใครเหนือกว่า แต่เหมือนกำลัง วิ่งขนานไปด้วยกันคนละทาง โดยมีเป้าหมายคล้ายกันคือ “ปกป้องบางสิ่ง” ที่สำคัญกว่าชื่อเสียงหรือศักดิ์ศรี
ซาสึเกะคือรอยแผลที่เดินได้ เขาคือคนที่โลกทำร้ายจนมองไม่เห็นความรัก แม้จะมีคนยื่นมือให้ก็ยังปฏิเสธ จมอยู่ในความแค้นจนหาทางออกไม่เจอ แต่นั่นคือเสน่ห์ของเขา ความเจ็บของซาสึเกะคือภาพสะท้อนของมนุษย์ที่ยังไม่ให้อภัยแม้แต่ตัวเอง
แต่คาวากิกลับแตกต่าง เขาคือคนที่มีอดีตอันโหดร้ายพอ ๆ กัน แต่เลือกจะ “เก็บแผลไว้เงียบ ๆ แล้วเดินต่อ” โดยไม่ปล่อยให้มันกลายเป็นเชื้อไฟ เขาไม่ลุกขึ้นมาแข่งกับโบรูโตะเพื่อแย่งชิงความรักจากนารูโตะ แต่เลือกจะ “ปกป้องความรักนั้นไว้” ด้วยการเสียสละตัวเอง นั่นแหละคือความเติบโตที่เงียบงันแต่ทรงพลัง
และที่เจ็บคือ... โบรูโตะเองก็รู้ ว่าเส้นทางที่เขาเลือกเดินมันจะทำให้เขาต้องอยู่ตรงข้ามกับคาวากิในสักวัน แต่เขาก็ยังพยายามรักษาสายสัมพันธ์นั้นไว้ เหมือนคนที่ยอมโดนเกลียดเพื่อให้คนอีกคนได้รอด
ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนเลยกลายเป็นสิ่งที่ “เหนือกว่าคู่แข่ง” พวกเขาคือสองขั้วของความเจ็บที่เข้าใจกัน แต่เลือกจะ ไม่ทำลายกัน เพราะเข้าใจว่าการอยู่รอดมันไม่ใช่เรื่องของใครเก่งกว่าใคร แต่มันคือ “เราจะรอดไปด้วยกันได้ไหม?”
และความเจ็บลึก ๆ ที่ซับซ้อนที่สุดของคาวากิ เป็นจุดที่ทำให้เขา “ไม่ใช่เหยื่อ” แบบบริสุทธิ์เหมือนที่หลายคนอาจพยายามเข้าใจเขาไว้ในตอนแรก
คาวากิเลือก ที่จะช่วงชิงครอบครัวของโบรูโตะและฮิมาวาริ
เขาเลือก ที่จะขังนารูโตะกับฮินาตะไว้ในมิติที่ไม่มีใครเข้าถึงได้
เขาเลือก ทำลายความจริงของทั้งโลก แล้วปลูกฝังความลวงแทน
ทั้งหมดนี้เพื่อให้ “โลกเชื่อว่าเขาคือคนในครอบครัวจริง ๆ”
และในขณะเดียวกัน บีบบังคับให้โบรูโตะกลายเป็นคนแปลกหน้า
แต่นี่แหละคือความย้อนแย้งในตัวคาวากิ..
เขาไม่ต้องการ “แย่ง” ความรัก แต่เขา กลัว ว่าความรักที่ได้รับจะหายไป
เขาไม่ได้อิจฉาโบรูโตะในแบบที่ต้องเอาชนะ แต่เขา หวาดระแวง
ว่าโบรูโตะในร่างของ "ภาชนะ" อาจเป็นภัยต่อคนที่เขารัก
จนสุดท้าย ความหวาดกลัวแปรเปลี่ยนเป็น “ความควบคุม”
เขาไม่ได้เผาโลกให้วอดวายเพราะความแค้นแบบซาสึเกะ
แต่เขา แช่แข็ง โลกเอาไว้ เพื่อเก็บช่วงเวลาอบอุ่นนั้นไว้กับตัวเอง
ความเจ็บตรงนี้มันเลยไม่ใช่แค่ของโบรูโตะที่โดนพรากทุกอย่าง แต่คือ ความเจ็บของคาวากิด้วย ที่ต้อง “เป็นผู้ร้ายในโลกที่เขาอยากปกป้อง”
และที่บาดลึกกว่านั้นคือ โบรูโตะยังเข้าใจเขา ทั้งที่ถูกช่วงชิง ทั้งที่ถูกบิดเบือน โบรูโตะยังพยายามรักษาเขาไว้ เพราะเขารู้ว่า... คนที่ทำร้ายเขาคือคนที่กำลังจมอยู่ในฝันที่ปวดร้าว
บางทีความสัมพันธ์ของทั้งคู่ถึงได้ทรงพลัง เพราะมันไม่ได้มีแค่ความรักหรือความเกลียด แต่มันคือ “ความเข้าใจในความผิดพลาดของกันและกัน” มันคือการยอมรับว่า คนที่เจ็บ อาจเผลอทำร้ายใครโดยไม่ได้ตั้งใจ และคนที่ถูกทำร้าย… ก็อาจยังเลือกจะ ไม่เกลียดกลับ
ทั้งหมดนี้ไม่ได้ลบความผิดของคาวากิ แต่มันทำให้เราเห็นว่าเขา ไม่ใช่ปีศาจ เขาแค่เป็น “มนุษย์ที่พยายามควบคุมโลก เพื่อรักษาความรักเอาไว้” แม้มันจะทำลายคนอื่นไปทีละคนก็ตาม..
คาวากิรักนารูโตะแบบคนที่เคยไร้ที่พึ่ง และได้เจอแสงแรกในชีวิต
โบรูโตะรักพ่อในฐานะครอบครัวที่เคยละเลยกัน แต่เข้าใจกันในที่สุด
แต่เมื่อมีภัยจาก “โอมิปอเทนซ์” และการเปลี่ยนความทรงจำของผู้คน
ทั้งสองคนกลับต้องมายืนคนละฝั่ง ทั้งที่ตั้งใจจะปกป้อง “สิ่งเดียวกัน”
นี่แหละคือคู่แข่งที่ไม่ได้ต่อสู้ด้วยหมัด… แต่ด้วย “ความตั้งใจที่ตรงข้ามกัน”
พวกเขาเลยกลายเป็น “คู่แข่งในความรัก” โดยไม่แย่งความรักจากกัน แต่แข่งกันว่าใครจะรักษามันไว้ได้ดีกว่ากัน แข่งกันด้วยความเจ็บ แข่งกันด้วยวิธีคิด แข่งกันทั้งที่ยังอยากเข้าใจกันเสมอ
และนั่นแหละคือสิ่งที่ทำให้ความสัมพันธ์ของโบรูโตะกับคาวากิ เจ็บแบบโต ๆ ไม่ใช่คู่แข่งในสนามประลอง แต่เป็น คู่ขนานของความเชื่อในโลกที่กำลังพังทลาย
เพราะบางทีในโลกที่ทุกอย่างกำลังพังทลาย เราไม่ได้ต้องการใครสักคนที่เก่งกว่าเรา... แค่ใครสักคนที่ยัง “ไม่ทิ้งกัน” แม้เราจะเปลี่ยนไปแค่ไหนก็ตาม
#Naruto #Boruto #นารูโตะ #โบรูโตะ
#BorutoTwoBlueVortex